หอการค้าไทย-จีน ยกทีมฯ พบ ‘นายกฯอิ๊ง’ – ชงปม ‘เศรษฐกิจไทย-จีน’ หนุนเดินงานร่วมกัน

หอการค้าไทย-จีน ตบเท้าเข้าพบ “นายกฯอิ๊ง” และทีมเศรษฐกิจ พร้อมเป็นสะพานเชื่อมการค้า 2 ชาติ เผย! เหตุไทยขาดดุลการค้ามหาศาล เพราะนำเข้าสินค้าทุน วัตถุดิบ และสินค้ากึ่งสำเร็จรูป มาผลิตและส่งขายต่อ ขณะที่การส่งออกเน้น สินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมมากไป ควรมุ่งแปรรูปสินค้ามากขึ้น

แนะเจาะตลาดรายมณฑล เน้นภาคกลางและตะวันตก เหตุมีกำลังซื้อสูง และจีนเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรใหญ่สุดของไทย ส่วนปมการทุ่มตลาด ควรงัดมาตรฐานสินค้ามาเป็นตัวช่วย หากพบทุ่มตลาดจริง หนุน ก.พาณิชย์ตอบโต้ทันที สำหรับ แพลตฟอร์ม Temu ที่รุกไทยหนักมาก!  ยกแนวทางแก้ลำของรัฐบาลจีน “กำหนดมูลค่าซื้อต่อครั้ง/ทั้งปีต่อคน” ชี้! ธุรกิจไทยสามารถใช้ประโยชน์จากอีคอมเมิร์ชตัวนี้

นายณรงค์ศักดิ์  พุทธพรมงคล ประธานกรรมการฯ นำคณะกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เข้าพบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีบางส่วนของพรรคเพื่อไทย พร้อมกับกล่าวแสดงความยินดี ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ดํารงตําแหน่ง นายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ของประเทศไทย โดยแสดงความเชื่อมั่นว่า การเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ มีความพร้อม และมีพลัง จะสามารถนําพาประเทศไทยให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป นอกจากนี้ นายณรงค์ศักดิ์  ได้กล่าวถึงประเด็นที่เกี่ยวกับการค้าการลงทุนไทย-จีน ในขณะนี้ และมีข้อเสนอแนะด้านการค้าไทย-จีน ดังนี้

1. ด้านการค้าการลงทุนไทย-จีน

1.1  ประเด็นการขาดดุลการค้าของประเทศไทยกับประเทศจีน

การที่ไทยขาดดุลการค้าจีนมาอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นผลจากโครงสร้างสินค้านําเข้าของไทยจากจีน เป็นสินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสําเร็จรูป แต่โครงสร้างสินค้าส่งออกของไทยไปจีนเป็นสินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ และสินค้าเกษตรกรรม จึงส่งผลการขาดดุลการค้ากับจีน อย่างไรก็ตาม จีนยังคงเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของไทยติดต่อกันหลายปี  ซึ่งสินค้าเกษตรกรรมและสินค้าเกษตรแปรรูปของไทย ยังมีโอกาสที่จะขยายตัวในตลาดจีนได้อีก หากมีการเจาะตลาดรายมณฑลของจีน โดยเฉพาะมณฑลในภาคกลางและภาคตะวันตกของจีน ซึ่งมีกําลังซื้อเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ ควรมีการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ภายใต้กรอบความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน และกรอบความตกลงอาร์เซป เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดจีน

ทั้งนี้ หากมองอีกมุมหนึ่ง  รัฐบาลจีนเองก็ได้สนับสนุนให้ไทยขยายการส่งออกไปยังตลาดจีนผ่านช่องทางต่างๆ อย่างต่อเนื่อง  โดยจีนได้เชิญไทยไปเข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ ที่จัดขึ้นในประเทศจีน เพื่อประชาสัมพันธ์แบรนด์และสินค้าไทยหลายงาน เช่น  1) ในงาน CIIE ครั้งที่ 6 ที่จัดขึ้นปีที่แล้ว  การทำสัญญาซื้อขายของผู้แสดงสินค้าชาวไทยมีมูลค่าเกือบ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 2) งาน China – ASEAN EXPO ที่หนานหนิง  จีนได้จัดบูทให้ประเทศไทยโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายมาตลอด 20 ปี  และ 3) งานแคนตันแฟร์ ที่กว่างโจว  โดยในรอบ 67 ปีนับแต่เริ่มจัดงาน มีนักธุรกิจไทยเข้าร่วมงานและจัดซื้อสินค้า  เฉลี่ยมากกว่า 7,000 รายต่อปี

1.2 ประเด็นสินค้าจีนราคาถูกทุ่มตลาดไทย

หากเป็นสินค้าที่ต้องมีมาตรฐานบังคับใช้ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องมีความเข้มงวด เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค  (ควรให้สินค้าที่มีมาตรฐานเท่านั้น) ส่วนกรณีที่พบว่ามีการทุ่มตลาด ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบ กระทรวงพาณิชย์อาจพิจารณาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดต่อสินค้าเหล่านั้น

1.3 ประเด็นการจําหน่ายสินค้าผ่านทางแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ชข้ามพรมแดน (Cross-Border E-Commerce) ที่มีราคาถูก

โดยยกตัวอย่าง แฟลตฟอร์มออนไลน์ (อีคอมเมิร์) ที่กำลังทำการตลาดในไทยอย่างเข้มขนในปัจจุบัน เช่น ทีมู (Temu) ซึ่งเป็นรูปแบบการค้าจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคโดยตรง (B2C) ทําให้สามารถขายสินค้าได้ราคาถูกลงนั้น ในประเด็นนี้ ประเทศไทยอาจพิจารณากฎระเบียบของประเทศจีนที่ใช้กํากับผู้บริโภคชาวจีนที่สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศผ่านทางแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชข้ามพรมแดน โดยจีนมีการกําหนดมูลค่าการสั่งซื้อไม่เกิน 5,000 หยวนต่อครั้งต่อคน และกําหนดมูลค่าการสั่งซื้อรวมทั้งปี  ไม่เกิน 26,000 หยวนต่อคน โดยไม่ต้องเสียภาษีนําเข้า และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเพียง 70% ของอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บจริง

อย่างไรก็ตาม  แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป็นรูปแบบธุรกิจใหม่ที่สร้างทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคมากขึ้น  หากรัฐบาลมีมาตรการควบคุมที่เหมาะสม ก็จะทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางนี้สร้างรายได้ให้กับประเทศได้มากขึ้น  พร้อมกับยกตัวอย่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2566  “ซิมบ้า” หรือ ชื่อภาษาจีน คือ 辛巴(ซิน ปา)นักไลฟ์ขายของออนไลน์ชาวจีน ได้ไลฟ์ขายสินค้าในประเทศไทยให้กับผู้บริโภคชาวจีน ซึ่งมียอดขายมูลค่าประมาณ 4.1 พันล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทย-จีน มีความเห็นว่า ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี สามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน เพื่อนําสินค้าเข้าสู่ตลาดจีน โดยเฉพาะระดับมณฑลของจีน ได้สะดวก และเป็นโอกาสในการขยายการส่งออกสินค้า ไทยอีกช่องทางหนึ่ง [สําหรับประเด็นนี้ รัฐบาลอาจพัฒนาผู้ประกอบการไทยเป็นเจ้าของเครือข่ายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นของตนเอง หรือ รัฐบาลอาจสนับสนุนให้ ผู้ประกอบการไทยร่วมมือกับผู้ประกอบการจีน – หมายเหตุ: เป็นผลจากการสํารวจดัชนี ความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 4/2567]

2. ด้านการลงทุน

ตามข้อมูลจาก BOI ในปี 2022-2023 พบว่า มีวิสาหกิจจีนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเกือบ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปี 2022 เพิ่มขึ้น 101% และปี 2023 เพิ่มขึ้น 109%  อีกทั้ง ยับว่ามีวิสาหกิจด้านโทรคมนาคมของจีน ได้ช่วยไทยสร้างเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้สัญญาณอินเทอร์เน็ตครอบคลุมพื้นที่ในประเทศไทยมากถึง 84%  นอกจากนี้ ยังมีวิสาหกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้าจากจีนกว่า 7 แห่ง ที่ได้เข้ามาลงทุนในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีมูลค่าการลงทุนเกิน 90,000 ล้านบาท

นายณรงค์ศักดิ์ ระบุว่า การลงทุนของวิสาหกิจจีนในประเทศไทยได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นของไทย   ตัวอย่างเช่น ตามที่กฎหมายไทยได้กำหนดว่า วิสาหกิจจีนที่ลงทุนในไทย จะต้องจ้างพนักงานที่เป็นคนไทย 4 คนก่อน จึงจะสามารถจ้างคนจีน 1 คนได้  และผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่วิสาหกิจจีนผลิตในไทย จะต้องนำมาเพิ่มมูลค่าในประเทศไทยมากกว่า 40 % ก่อนจึงจะได้รับใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า ดังนั้น หากจะกล่าวว่าวิสาหกิจจีนมาลงทุนในไทยแล้วใช้แต่วัตถุดิบมาจากจีน ใช้แรงงานจากจีน ก็ไม่เป็นความจริงเสียทั้งหมด พร้อมกับยกตัวอย่าง กล่าวคือ เขตอุตสาหกรรมระยองไทย-จีน ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมโรงงานการผลิตมีมูลค่าการผลิตรวมมากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสินค้า 80% เป็นการส่งออก จึงช่วยกระตุ้นการส่งออกของไทยมากกว่า 3000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี2566  อีกทั้งช่วยให้มีการจ้างงานในท้องถิ่นมากกว่า 55,000 คน

3. การปิดกิจการของธุรกิจไทย

โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้  มีการแสดงความคิดเห็นกันมากมายเกี่ยวกับ การปิดตัวของธุรกิจไทย หลายคนคิดว่าสาเหตุมาจากผลิตภัณฑ์และการลงทุนของจีน อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้ พบว่ามีโรงงาน 488 แห่งปิดตัวลง ในขณะเดียวกัน ก็มีการก่อตั้งโรงงานใหม่ 848 แห่ง ซึ่งการลงทุนในโรงงานที่ปิดตัวไปคิดเป็นจำนวน 14 พันล้านบาท ในขณะที่ การลงทุนในโรงงานที่จัดตั้งใหม่คิดเป็น  149.8 พันล้านบาท ด้านการจ้างงาน พบว่าการปิดโรงงานส่งผลให้มีการว่างงาน 12,551 ตำแหน่ง ในขณะที่โรงงานที่จัดตั้งใหม่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 33,787 ตำแหน่ง

“สำหรับประเด็นนี้  รัฐบาลควรให้ความสนใจและพยายามแก้ไขปัญหาแรงกดดันทางการแข่งขันที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญภายใต้กลไกการตลาด  รัฐบาลต้องกำกับดูแลเพื่อป้องกันการละเมิดกฎหมายและกฎระเบียบอย่างเข้มงวด” ประธานหอการค้าไทย-จีน ย้ำ 

4. ด้านการดำเนินธุรกิจที่มิชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นการประกอบธุรกิจของชาวจีนในประเทศไทยโดยใช้นอมินี กรณีดังกล่าว หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โปร่งใสและเป็นธรรม ในส่วนของ หอการค้าไทย-จีน ก็พยายามให้ข้อมูลและความรู้แก่ผู้ประกอบการชาวจีนที่จะเข้ามาทําธุรกิจในประเทศไทย ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่ รัฐบาลจีนเอง ก็มีนโยบายให้วิสาหกิจและพลเมืองของตนปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศที่ไปลงทุนหรือทำธุรกิจอย่างเคร่งครัด ซึ่ง ทางการจีนได้ให้การสนับสนุนฝ่ายไทยในการสืบสวนและจัดการกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม 

“สุดท้ายนี้ หอการค้าไทย-จีน เป็นที่รวมของนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีน นักธุรกิจชาวจีน และ ชาวจีนโพ้นทะเล ก่อตั้งมาเป็นเวลา 114 ปี และยังคงบทบาทเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน ในทุกมิติ ยินดีให้การสนับสนุนรัฐบาล เพื่อดําเนินนโยบายทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ให้สําเร็จลุล่วง เพื่อความผาสุกของประเทศชาติโดยรวม” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวในที่สุด.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password