หอการค้าไทย-จีน ชี้ ‘คนละครึ่งพลัส’ หนุนเศรษฐกิจปลายปี แต่ปี’69 เสี่ยงการเมือง–โลกผันผวน

ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 1/2569 ระบุ 56% เห็นโครงการคนละครึ่งพลัสช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ขณะที่ปีหน้าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงทางการเมืองและความผันผวนเศรษฐกิจโลก

นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความ เชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ประจำไตรมาส 1/2569 ซึ่งได้มีการสำรวจระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน ถึง 9 ธันวาคม 2568 โดยผู้ให้ข้อมูลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีนประกอบด้วย (1) ประธาน คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการหอการค้าไทยจีน (2) ประธานและกรรมการ สมาชิกสมาคมต่างๆ ของสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และ (3) กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีน รวมทั้งสิ้น จำนวน 453 คน

ในการสำรวจครั้งนี้ มีประเด็นครอบคลุมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจช่วงสิ้นปี 2568 และการคาดการณ์ปี 2569 สถานการณ์ที่สำคัญในปี 2568 คือการที่สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับนานาประเทศ เพื่อ แก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้า และมีเป้าหมายหลักคือการลดการนำเข้าสินค้าจีน ทำให้สินค้าจีนได้ถูกระบายออก ขายในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น จากการสำรวจของหอการค้าไทยจีน พบว่าร้อยละ 51.7 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้ รับรู้หรือรู้สึกได้ว่าสินค้าจีนได้ส่งออกมายังประเทศไทยมากขึ้น หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามการค้ากับ ประเทศจีน แต่ร้อยละ 21.6 ของผู้ตอบแบบสำรวจ ให้ความเห็นว่าปริมาณสินค้าจากจีนนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

การเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้าดำเนินมาหลายรอบ ในปลายเดือนตุลาคม ไทยได้มีการ ลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ช่วงประชุมสุดยอดอาเซียน 2025 ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ร้อยละ 31.3 ของผู้ตอบการสำรวจ มีความเห็นว่า ข้อตกลงทางการค้าดังกล่าวทำให้ไทยเสียเปรียบต่อการค้าและ เศรษฐกิจ ขณะที่ร้อยละ 27.3 มีความเห็นว่าข้อตกลงดีไปตามที่คาด ส่วนร้อยละ 27 มีความเห็นว่าข้อตกลง ดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจของไทย ผลของการสำรวจจึงอาจจะยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ ในการประชุมครั้งนี้ ไทยยังได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจในเรื่องแร่หายากกับสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 42 ของผู้ตอบแบบสำรวจมีความเห็น ที่กังวลในการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพราะขาดความชัดเจนใน ขณะที่ร้อยละ 42.6 ให้ความเห็นว่าด้วยเป็นเพียงบันทึกความเข้าใจสามารถจะยกเลิกได้จึงไม่กังวลในการลงนาม ดังกล่าว ดังนั้นในภาพรวมกล่าวได้ว่าการเจรจาทวิภาคีระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกานั้น คงยังต้องรอการ ประเมินผลกระทบหลังจากที่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น

ในเวลาต่อมา ที่เวที APEC 2025 ที่เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกาและจีนมีข้อตกลงสงบศึกการค้าชั่วคราวเป็น ระยะเวลาหนึ่งปี และมีข้อตกลงอื่นอาทิ จีนจะระงับการควบคุมการส่งออกแร่หายาก สหรัฐอเมริกาจะลดภาษี นำเข้าจากจีนเหลือร้อยละ 47 จากเดิมที่จะเก็บร้อยละ 57 และระงับการเพิ่มข้อจำกัดต่อบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ การสำรวจความคิดเห็นของหอการค้าไทยจีนต่อผลของข้อตกลงดังกล่าวพบว่า ร้อยละ 50.4 ของผู้ตอบแบบ สำรวจ คิดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งยังไม่น่าไว้วางใจและจะมีความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงหนึ่งปีหน้า เรื่องของการสวมสิทธิ์ของสินค้าจีนเป็นสินค้าของประเทศที่สามและส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา (transshipment) ร้อยละ 53.2 ของผู้ตอบแบบสำรวจยังคงความกังวลแม้ว่าจะมีข้อตกลงสงบศึกการค้า ชั่วคราว ในขณะที่ร้อยละ 25.5 กลับมีความกังวลมากกว่าเดิม โดยสรุปแล้วกล่าวว่าได้ว่าความขัดแย้งระหว่าง สหรัฐอเมริกาและจีนนั้นสามารถจะเกิดขึ้นได้ และมีประเด็นที่สำคัญคือนิยามเรื่องการสวมสิทธิ์

ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ได้จัดทำโครงการกระตุ้น เศรษฐกิจในระยะสั้น ผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ใช้เงินงบประมาณ 44,000 ล้านบาท โดยมีผู้ลงทะเบียนใช้ สิทธิ์ 20 ล้านคน การสำรวจของหอการค้าไทยจีนพบว่า ร้อยละ 56 เห็นว่าโครงการคนละครึ่งพลัสจะมีส่วน กระตุ้นเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ได้เป็นอย่างมาก และร้อยละ 14.7 เห็นว่าโครงการดังกล่าวจะ กระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายได้ดีเป็นอย่างมากที่สุด กล่าวโดยสรุปได้ว่าหอการค้าไทยจีนสนับสนุน โครงการคนละครึ่งพลัสเป็นอย่างเต็มที่

นอกจากนโยบายระยะสั้นในโครงการคนละครึ่งพลัสแล้ว ยังมีมาตรการในโครงการ Quick Big Win อีก หลายมาตรการ ผู้ตอบแบบสำรวจหอการค้าไทยจีนลงความเห็นว่า หากต้องเลือกโครงการที่สำคัญและผลักดันให้ ประสบความสำเร็จ และจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยมากที่สุด มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว มาตรการ เร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมาตรการเร่งเจรจาเปิด เสรีทางการค้า ตามลำดับ ซึ่งเป็นสามมาตรการหลักที่ควรเร่งผลักดันให้บรรลุผล

 การคาดการณ์ในปี 2569 ในการสำรวจครั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจยังให้ความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยว่า ไตรมาสที่สี่ของปีนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนและพลิกฟื้นให้เสร็จเติบโตต่อเนื่องในปี 2569 ร้อยละ 40.7 คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่อเนื่องไปได้ในระยะสั้นเป็นเวลาช่วงไม่เกินหกเดือน แต่ร้อยละ 33.4 คาดว่าเศรษฐกิจไทย จะเจริญเติบโตต่อเนื่องได้มากกว่าหกเดือน ผู้ตอบแบบสำรวจลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า เศรษฐกิจไทยยังต้อง เผชิญความเสี่ยง สองประการหลัก ในปี 2569 คือความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงทางการเมือง และความผันผวน ของเศรษฐกิจโลก กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาพลิกฟื้นได้ในปี 2569 หากภาคธุรกิจมีการบริหารความ เสี่ยงที่ดีจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และหากภาวะทางการเมืองลงตัวก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เศรษฐกิจ ไทยสามารถเติบโตได้ในระยะยาว

นอกจากนี้ นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การค้าระหว่างประเทศไทยและจีน ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม 2568) ขยายตัว 28% มีมูลค่าการค้ารวม 121,550 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการส่งออกของ ไทยไปจีน มีมูลค่ารวม 33,781 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 15.47% เป็นการขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน ส่วนการ นำเข้าของไทยจากจีน มีมูลค่า 87,768 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 33.59% การนำเข้าของไทยจากจีนขยายตัว สอดคล้องกับการขยายการลงทุนของจีนในประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมา.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password