ท่องเที่ยวดันเศรษฐกิจไทย พ.ค.65 ดีขึ้น คลังห่วงปมรัสเซีย-ยูเครนดึงราคาน้ำมันกระทบค่าครองชีพ

ทีมโฆษก สศค. ระบุ! ภาพรวมเศรษฐกิจการคลัง ช่วง พ.ค.65 ดีขึ้น หลังได้รับอานิสงฆ์จากภาคการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า พลอยดันเศรษฐกิจภูมิภาคและดัชนีความเชื่อมั่นดีขึ้นตามไปด้วย แต่ยังกังวลปมความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ได้ส่งผลกระทบต่อระดับราคาพลังงาน ต้นทุนการผลิต และค่าครองชีพของประชาชน พร้อมจับตาอย่างใกล้ชิด

นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วย นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึง ภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤษภาคม 2565 ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2565 ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ได้ส่งผลกระทบต่อระดับราคาพลังงาน ต้นทุนการผลิต และค่าครองชีพของประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดย การบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤษภาคม 2565 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 29.0 และ  15.7 ตามลำดับ และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลร้อยละ 1.9 และ 5.2 ตามลำดับ สอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนพฤษภาคม 2565 ขยายตัวเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 13.3 ขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนพฤษภาคม 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 11.0 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลร้อยละ -2.0 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม 2565 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 40.2 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครนที่ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและระดับราคาสินค้าทั่วไปปรับตัวสูงขึ้น

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 10.6 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลเล็กน้อยที่ร้อยละ -0.2 สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนพฤษภาคม 2565 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -11.7 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -3.5 ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 24.6 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -8.4

 เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดย ภาคเกษตร สะท้อนจาก

ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนพฤษภาคม 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 11.4 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 5.7 จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ เช่น ข้าวเปลือก ยางพารา ไข่ไก่ และสินค้าในหมวดไม้ผล เป็นต้น สำหรับ ด้านบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนพฤษภาคม 2565 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 521,410 คน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 8,515.5 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 116.8 โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากอินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ

เช่นเดียวกับ การท่องเที่ยวภายในประเทศ ที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนพฤษภาคม 2565 จำนวน 15.8 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 1,053.2 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 30.3 ขณะที่ ภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนพฤษภาคม 2565 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 84.3 จากระดับ 86.2 ในเดือนเมษายน 2565 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ราคาพลังงาน ต้นทุนการผลิตทั้งจากราคาวัตถุดิบและค่าขนส่งปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงกำลังซื้อในประเทศชะลอตัวจากปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น

เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้มีปัจจัยกดดันจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้า สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ร้อยละ 7.10 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.28 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2565 อยู่ที่ร้อยละ 60.8 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานรายใหม่ ในเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ร้อยละ 0.58 ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ทั้งหมด สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ในระดับสูงที่ 230.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนพฤษภาคม 2565 ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นในทุกภูมิภาค อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นในภาคตะวันออกและภาคตะวันตก อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงเนื่องจากความกังวลต่อค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค เดือนมิถุนายน 2565 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคใต้และภาคตะวันออก จากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นในภาคบริการ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password