Long หลอน


ใบสั่ง…มอบฉันทะ จากคนไทยทั้งแผ่นดิน! ถึง “กันต์ จอมพลัง” ช่วยทำให้เสียงหลอน…ได้พูดแทนความเงียบที่คนไทยได้รับจากฝั่งกัมพูชา ตลอดเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา วันนี้…พรุ่งนี้ และวันต่อๆ ไป ช่วยส่งต่อ “ซาวน์หลอน” ในแบบ Long หลอน ลองกันไปยาวๆ เพื่อบั่นทอนขวัญและกำลังใจของฝ่ายตรงข้าม? ผลักดันให้พวกที่คอยรุกล้ำอธิปไตย…พ้นไปจากดินแดนไทยเสียที
ถ้าเป็นคนไทย? ที่แอบบุกรุกและยึดครองดินแดนกัมพูชา คงไม่มีทางจะปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อยาวนานได้มากกว่า 40 ปี แค่วันแรกที่ฝ่ายกัมพูชารู้ว่า…ดินแดนของตัวเองถูกรุกล้ำอธิปไตย! ก็คงจะประเคน “กระสุนปืน” ใส่คนไทยได้ “ตุย” ไปตามๆ กันแล้ว
นับเป็นห้วงเวลาอันยาวนานที่ คนไทยต้องฝืนทนกับพฤติกรรมของคนจากประเทศข้างบ้าน อย่าง…กัมพูชา เพราะแม้ฝ่ายไทยจะได้ทำหนังสือประท้วงถึงการบุกยึดและครอบครองผืนดินไทย บริเวณบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ต่อรัฐบาลกัมพูชา โดยขอให้ถอนราษฎรกัมพูชาที่บุกรุก…ออกจากเขตแดนไทยอย่างสันติ กัมพูชาก
ทว่า มันกลับไม่เคยได้รับการ “ตอบกลับ” อย่างจริงใจ
ไม่เพียงแต่…ชาวกัมพูชาบางกลุ่มที่ยังคงอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำมาหากินในเขตไทย หากแต่ภาครัฐของกัมพูชาเอง ยังกลับให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผย ทั้งการ จัดตั้งหมู่บ้านชั่วคราว การวางโครงสร้างพื้นฐาน และจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลในพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งที่ทางการไทย ยืนยันหนักแน่นว่า…นั่นคือ แผ่นดินของไทย!!! ก็ตามที
จากชายแดนที่เคยมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจ กลับกลายเป็น “รอยแผล” ทางศักดิ์ศรี เมื่อพื้นที่ของไทย ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ในชื่อของ “สิทธิมนุษยชน” ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่ชาวกัมพูชาได้ทำลงไป มันคือการครอบครองและขยายอิทธิพลเงียบ ๆ
แต่เมื่อความเงียบที่ฝ่ายกัมพูชา…แอบดำเนินมานานเกือบครึ่งศตวรรษ จะถูกตอบจากฝั่งไทยในแบบ “เสียงตอบกลับ” บ้าง???
กะอีแค่…“เสียงหลอน” ผ่านลำโพง รัฐบาล องค์กรสิทธิมนุษยชน และชาวกัมพูชา…จะเป็นจะตายเสียให้ได้!!??
ก็ต้องยอมรับว่า…ความอดทนอดกลั้นของคนไทย ต่อพฤติกรรมที่น่ารังเกียจของรัฐบาลและชาวกัมพูชา ย่อมมีขีดจำกัด
อะไรที่ทำแล้วได้ผล…โดยไม่ต้องเปลืองกระสุนปืน หรือต้องมีใครสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดมิใช่หรือ?
ในเมื่อ คนของประเทศหนึ่ง บุกรุกดินแดนของคนอีกประเทศหนึ่ง โดยที่เจ้าของดินแดนได้ทำหนังสือประท้วง มานับหลายร้อยฉบับ ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา แต่กลับไม่เกิดมรรคผลใดๆ
ดังนั้น การเปิดเสียง “ซาวด์หลอน” ผ่านลำโพง เช่นที่ “กันต์ จอมพลัง” กระทำในห้วงไม่กี่วันมานี้ ย่อมถือเป็นความชอบธรรมและเมตตาอย่างที่สุดกับพวกโจรโขมยดินแดนของไทยแล้ว
แม้สถานการณ์นี้ จะกลายเป็นข่าวดังระดับภูมิภาค กระทั่ง องค์กรสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา ซึ่งคนทั่วโลกเขาก็รู้กันทั่วว่า…เป็นองค์กรภายใต้การครอบงำของ “รัฐบาลพนมเปญ” ได้ทำหนังสือเรื่องร้องเรียน ส่งตรงถึง ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) กล่าวหาว่าไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนของพลเรือนกัมพูชา
แต่ในอีกด้านหนึ่ง เรื่องนี้ได้จุดประกายการถกเถียงครั้งใหม่ ว่า…แท้จริงแล้วต้นเหตุของ “เสียงหลอน” ไม่ได้เกิดจากลำโพงของไทย หากเกิดจาก “ความเงียบของความยุติธรรม” ที่กัมพูชาเพิกเฉยต่อการบุกรุกแผ่นดินไทยมานานนับชั่วคน มากกว่า…
ข้อเท็จจริง ที่โลกต้องรับรู้ นั่นคือ…พื้นที่ชายแดนหลายจุด โดยเฉพาะ บริเวณพื้นที่ของจังหวัดศรีสะเกษ สระแก้ว และสุรินทร์ ได้ถูกชาวกัมพูชาบางกลุ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำมาหากินในเขตที่ดินแดนไทย
หลายหน่วยงานของไทย ไม่ว่าจะเป็น…ฝ่ายปกครอง กรมแผนที่ทหาร และหน่วยงานความมั่นคงไทย ได้ทำหนังสือประท้วงไปยัง รัฐบาลกัมพูชา หลายฉบับ
แต่ทุกครั้งเรื่อง…กลับเงียบหาย!!!
ในทางกลับกัน! กัมพูชายังคงสร้างสิ่งปลูกสร้าง จัดตั้งหมู่บ้าน และปล่อยให้ประชาชนของตนถือครองที่ดินซึ่งอยู่ในเขตไทยอย่างไม่เกรงกลัว แม้ในบางพื้นที่จะเคยมี คณะกรรมการเขตแดนร่วมทำงาน ก็ตามที…
แต่ผลลัพธ์ ก็ถูก “ฉุดดึงและเหนี่ยวรั้ง” ด้วยท่าทีที่ไม่จริงใจจากฝ่ายกัมพูชาเสมอ
ประเทศไทยและคนไทย…ถูกบังคับให้ “อดทน” ภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งที่ในอดีตเอง พื้นที่ชายแดนหลายแห่งที่ถูกบุกรุก ล้วนเป็นผลสืบเนื่องจาก “ข้อตกลงระหว่าง UN กับไทย” ในช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา
โดยเมื่อปี 2520–2522 ที่ไทยเปิดพื้นที่ชั่วคราวให้ใช้เป็น “เขตลี้ภัยมนุษยธรรม” เพื่อให้ประชาชนกัมพูชาหลบหนีภัยจากเขมรแดง การให้พื้นที่นั้น ถือเป็นการกระทำด้วย “น้ำใจ” ทางมนุษยธรรมที่แท้จริง
ทว่ากาลเวลาผ่านไป พื้นที่ที่ไทยเคยเปิดเป็นที่พักพิง…กลับกลายเป็นชุมชนถาวร และกลายเป็นข้ออ้างว่า…คนกัมพูชา “อยู่มาก่อน” ในเขตแดนของประเทศไทย
ความไม่จริงใจของฝั่งกัมพูชา ยังได้ถูกสะท้อนจากภาพความเป็นจริง??? ภายหลังจากที่…ทหารไทยได้เข้าไปเก็บกู้ วัตถุระเบิด บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ชาวกัมพูชาเข้ามารุกล้ำอธิปไตย ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
กระทั่ง พบ วัตถุระเบิด PMN 3 รวมกัน 2 วัน (เสาร์และอาทิตย์) จำนวน 5 ลูก ที่ถูกลักลอบนำมาวางบนแผ่นดินไทย
พิสูจน์แล้วว่า…เป็นระเบิดชนิดใหม่ และเพิ่งจะถูกนำมาวางไว้ไม่นาน สิ่งนี้ ถือเป็นหลักฐานที่ตอกย้ำเจตนารมณ์อันไม่บริสุทธิ์ของฝ่ายกัมพูชาอย่างปฏิเสธไม่ได้
เหตุการณ์นี้…ไม่เพียงสะท้อนความเสี่ยงทางความมั่นคงเ ท่านั้น แต่ยังเปิดโปงถึง “ความไม่จริงใจ” ในการเคารพสิทธิมนุษยชนที่พวกเขาอ้างในเวทีโลก
เพราะระเบิดที่วางลงบนแผ่นดินไทย ไม่เพียงเป็น “อาวุธแห่งการคุกคาม!!!” แต่ยังเป็น…การละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของพลเรือนในพื้นที่ชายแดนอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น…กัมพูชายังมีประวัติที่ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน โดยในรายงานของ องค์การสิทธิมนุษยชนสากลหลายแห่ง ว่า…เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนสูงที่สุดในเอเชีย!!!
ตั้งแต่…การสังหารนักการเมืองฝ่ายค้าน การคุมขังนักข่าว การใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันปิดปากผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ไปจนถึงการปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง ฯลฯ
รายงานของ Human Rights Watch และ Amnesty International ระบุว่า…รัฐบาลพนมเปญ ยังคงใช้โครงสร้างอำนาจแบบกดทับเสรีภาพประชาชน มีการบังคับใช้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติ และไม่เปิดโอกาสให้กลไกตรวจสอบระหว่างประเทศเข้ามาอย่างแท้จริง
เมื่อพิจารณาในบริบทนี้ การที่กัมพูชาออกมาร้องเรียนไทยต่อ UN และ OHCHR จึงถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวาง ว่า…ฝ่ายองค์กรสิทธิมนุษยชนกัมพูชา มีความสุจริตใจเพียงใด? ในเมื่อรัฐบาลของตนเองยังถูกวิจารณ์ว่า…ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็น…การใช้พลเรือนเป็นโล่, การตั้งฐานยิงใกล้ชุมชน, การนำเด็ก สตรี สตรีมีครรภ์ คนชรา และพระภิกษุสงฆ์ ฯลฯ มาอยู่แนวหน้า และแม้กระทั่ง การละเลยต่อชีวิตของผู้บาดเจ็บบริเวณตามแนวชายแดน
ทั้งหมด…ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง!!!
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ก็เพิ่งจะมีรายงานข่าวเกี่ยวกับ พลเรือนไทย ที่บาดเจ็บในเขตแดนกัมพูชา แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงพยาบาล และต้องเสียชีวิตกลางถนนโดยไม่มีแพทย์เข้าช่วย รวมถึงข่าวล่าสุด เมื่อนักศึกษาชาวเกาหลีใต้ถูกจับตัวมาเรียกค่าไถ่ และถูกทรมานจนชีวิตและนำศพมาทิ้งไว้ข้างถนน
เหล่านี้ ล้วนสะท้อนภาพของปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนในทางปฏิบัติของกัมพูชาอย่างที่สุด!!??
ขณะที่ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐกัมพูชา กลับกล่าวหาประเทศไทย ว่า กระทำการอันเป็นการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ด้วยเสียงลำโพง ทั้งที่เสียง…ไม่ทำให้ใครต้องบาดเจ็บและล้มตาย!!!
ความย้อนแย้งนี้เอง ที่ทำให้ “คำร้อง” ของกัมพูชาต่อข้าหลวงใหญ่ฯ ถูกจับตามองด้วยความสงสัย? ถึงหลักการของ UN และ OHCHR ที่ได้กำหนดให้ต้อง “รับเรื่องไว้พิจารณา” แต่ในทางปฏิบัติ การชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ???
หาก รัฐของ “ผู้ร้อง” เองมีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง และไม่เคยให้ความร่วมมือกับกลไกตรวจสอบระหว่างประเทศ
คำร้องย่อมมี “น้ำหนักลดลง” ในเชิงศีลธรรมและความน่าเชื่อถือ!!?? และในท่ามกลางกระแสเสียงรอบด้าน ฝ่ายไทยเอง ก็ย่อมจะมีเสียงสะท้อน 2 แนวทาง???
ฝ่ายหนึ่ง มองว่า…การเปิดเสียงชายแดน เป็น “การแสดงเชิงสัญลักษณ์” เพื่อปลุกขวัญกำลังใจของทหารและประชาชน
ขณะที่ อีกฝ่าย กลับเห็นว่า…อาจกระทบภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก
แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ก็คือ…ความรู้สึกอัดอั้นของสังคมชายแดนไทยที่ถูกละเลยมานาน เสียงจากลำโพงจึงกลายเป็น “เสียงที่พูดแทนความเงียบ” ของหนังสือประท้วงนับร้อยฉบับที่ไม่เคยได้รับคำตอบ…
และเป็น นายกอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ที่ได้ให้สัมภาษณ์ เมื่อวานนี้ (12 ตุลาคม) กรณี “กัน จอมพลัง” นำเครื่องเสียงไปเปิดซาวด์หลอนให้ชาวกัมพูชาฟังในพื้นที่ชายแดนบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ว่า…
“ทุกคนที่เป็นคนไทย ไม่มีใครชอบที่มีคนรุกรานอธิปไตยของเรา แต่เราจะไปตำหนิเขา เขาก็แสดงออกในสิ่งที่คิดว่าทำแล้วทำให้คนทั่วไปรู้ว่า…นี่คือดินแดนประเทศไทย ซึ่งผมจะพยายามทำให้เป็นสากลมากที่สุด ซึ่ง “กัน จอมพลัง” เวลาที่เขาช่วยเหลือประชาชน ก็ต้องยอมใจเขา ตอนที่ผมเป็นฝ่ายค้าน แล้วมีเหตุต้องอพยพชาวบ้าน 3-4 จังหวัด ผมไปดูแลประชาชน ก็เจอแต่รถของ “กัน จอมพลัง” จนรู้สึกตกใจว่า…ทำไมคนคนเดียวถึงสามารถระดมความช่วยเหลือได้มากกว่ารัฐ”
ก่อนจะย้ำอีกว่า… “วันนี้ เมื่อเราเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าไปแข่งกับ “กัน จอมพลัง” แต่ความช่วยเหลือแรก ต้องมาจากรัฐบาลก่อน ส่วนคนดีๆ อย่าง “กัน จอมพลัง” ก็มาเสริม ซึ่งประชาชนได้ประโยชน์ รัฐบาลต้องไม่ผลักภาระนี้ให้ประชาชนดูแลกันเอง รัฐบาลต้องดูแลเป็นพื้นฐาน”
แม้ นายกฯอนุทิน ไม่ได้พูดถึงประเด็นการเปิด “ซาวด์หลอน” ให้ชาวกัมพูชาฟังแบบชัดๆ แต่ได้แสดงความชื่นชมในความเสียสละของ “กันต์ จอมพลัง” ว่า เป็นคนกล้าหาญและมีจิตใจปกป้องชาติ
แม้ถ้อยคำดังกล่าว จะสร้างแรงใจให้กับฝ่ายที่เห็นด้วย แต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนในแวดวงการทูตไม่น้อย เพราะในสายตาของ องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ นั่นอาจตีความได้ว่า…
“รัฐบาลไทยให้การสนับสนุนพฤติกรรมที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิด” ซึ่งอาจกลายเป็นช่องให้คู่กรณีใช้โจมตีต่อในเวทีโลก
อย่างไรก็ดี การเมืองระหว่างประเทศ มักซับซ้อนกว่าที่ปรากฏบนหน้าเว็บไซต์ของสหประชาชาติ เพราะขณะเดียวกัน หลายประเทศในภูมิภาคเอง ต่างรู้ดีถึงพฤติกรรมของ “รัฐบาลกัมพูชา” ไม่ว่าจะเป็น…
การควบคุมสื่อและองค์กรสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ รวมทั้ง…การใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน
ทำให้ความพยายามของกัมพูชา ในการร้องเรียนไทย อาจถูกมองว่า…เป็น “การเมืองทางภาพลักษณ์” มากกว่าความหวังดีต่อสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง
จึงไม่แปลก! หากผลลัพธ์สุดท้ายจากเวที UN มักจะออกมาในลักษณะ “ขอให้ทั้งสองฝ่ายตรวจสอบร่วม” หรือ “เรียกร้องให้ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนร่วมกัน”
มากกว่า…การตัดสินว่าไทยถูก หรือกัมพูชาผิด!!!
การชี้ขาดในทางการเมืองโลก ไม่เคยเป็นเรื่อง “ขาวกับดำ” หากแต่เป็นเรื่องของอำนาจและความน่าเชื่อถือที่รัฐแต่ละฝ่ายสร้างขึ้นในสายตาประชาคมโลกมากกว่า…
ในสมรภูมิของ “เสียง…ที่ไม่มีควันปืน” นี้!!! สิ่งที่สะท้อน คือ สงครามทางจิตวิทยาที่ข้ามพรมแดน
เสียงโหยหวน…อาจทำให้บางคนหลับไม่ลง แต่ในอีกนัยหนึ่ง มันคือ…เสียงตื่นของคนไทยจำนวนมาก ที่รู้สึกว่าความเงียบของรัฐ และความอ่อนโยนทางการทูตในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้ช่วยให้แผ่นดินของตนปลอดภัยมากขึ้น!!!
ความอดทน…ได้ถูกแทนที่ด้วยการส่งเสียง และเสียงนั้น…ยังคงดังกึกก้องและกังวานอยู่ตามแนวรั้วลวดหนามระหว่างเขตแดนของ 2 ชาติ
“กันต์ จอมพลัง” อาจไม่ใช่นักการทูต หรือผู้แทนรัฐบาล แต่ในมุมของผู้คนจำนวนไม่น้อย เขากลายเป็น “เสียงแทนใจ” ของประชาชนชายแดน ที่รู้สึกเบื่อหน่ายการถูกรุกราน โดยไม่มีใครปกป้อง!!!
หากคำว่า…หลอน หมายถึง การทำให้ฝ่ายตรงข้าม ต้องตระหนักถึงสิ่งที่ตนละเลยมานาน เสียงนี้ ก็อาจไม่ได้มีไว้เพื่อข่มขวัญใคร!!??
แต่เพื่อเตือนให้รู้ว่า…“คนไทย…ยังอยู่ตรงนี้” อยู่ตรงที่เป็นแผ่นดินไทย!!!
ตราบใดที่ความจริง! เรื่อง…การบุกรุกชายแดน? ยังไม่ได้รับการแก้ไข ตราบนั้น…เสียง “ซาวด์หลอน” ที่ “กันต์ จอมพลัง” นำมาเปิด ก็ยังคงจะดังต่อไป
Long ทั้งในความหมาย “ยาวๆ” และทับศัพท์คำไทย “ลอง” ทำกันดู เมื่อผสมกับอีกคำ นั่นคือ “หลอน” ก็ไม่ต่างจาก การอนุญาตจากคนไทยเกือบ 70 ล้านคน ที่มอบหมายให้ตัวแทนของพวกเขา คือ “กันต์ จอมพลัง” ได้ทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งแผ่นดิน
ได้โปรยช่วยส่ง “เสียงแทนใจ” ของคนไทยไปกับ “ซาวด์หลอน” ในแบบลองทำกันต่อไป เอากันแบบยาวๆ ไปเลย
ยาวนานพอ ๆ กับเวลาที่ “ความเงียบ” ของความยุติธรรม…เคยดำรงอยู่
ซาวด์หลอน…Long หลอน กันไปยาวๆ!!!.