‘ศุภจี’ โชว์วิชั่น! ชงเศรษฐกิจไทยสู่ Value-Based Economy – ยึด ‘3 ยุทธศาสตร์ 7 นโยบาย’ ใช้จุดแข็งสร้างประโยชน์สูงสุด

“รมว.พาณิชย์” แสดงวิสัยทัศน์ “Out of The Trap” มองเศรษฐกิจไทยมุ่งสู่ “Value-Based Economy” พร้อมนำพาณิชย์ เดินหน้า 3 ยุทธศาสตร์ 7 นโยบาย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก–สร้างตลาดใหม่–ลดค่าครองชีพ

วันนี้ (9 ตุลาคม 2568) ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ, นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา Thailand Economic Outlook 2026 “Out of The Trap” หัวข้อ “Thailand’s Opportunities & Challenges” โดยระบุตอนหนึ่งว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันเต็มไปด้วยความผันผวนจากทั้งปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) สงครามการค้า และการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ ทำให้ไทยต้องเร่ง “ปรับตัวอย่างรวดเร็ว” เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ 4 เทรนด์สำคัญที่ทำให้โลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลง ได้แก่..

1.De-globalization การกระจายตัวของห่วงโซ่อุปทานและการลดการพึ่งพา
2.De-carbonization การขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ที่ไทยต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป
3.Digitalization การเปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ซึ่งอาจเป็นทั้ง “โอกาสและอุปสรรค”
และ 4.Demographics โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ส่งผลต่อกำลังแรงงานและศักยภาพการผลิต

รมว.พาณิชย์ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% แต่ปัจจุบันลดเหลือราว 2% และคาดว่าปี 2568 จะเติบโตเพียง 1.8–2.3% พร้อมเตือนว่า เงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ -0.76% ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืด หากไม่เร่งกระตุ้นดีมานด์ภายในประเทศ โดย แนวคิดหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์ คือ “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” ผ่าน 3 ยุทธศาสตร์ และ 7 นโยบาย Quick Big Win เพื่อเสริมรายได้ให้เกษตรกร สร้างตลาดใหม่ และลดค่าครองชีพประชาชน

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ “หลุดจากกับดัก” ต้องอาศัยการปรับแนวคิดและโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่บน 3 หลักการสำคัญ ได้แก่
1.Demand-Driven Economy แทน Supply-Driven Economy ไทยต้องปรับจากการผลิตตามกำลัง (Supply) ไปสู่การผลิตตามความต้องการของตลาด (Demand) โดยใช้ข้อมูลเชิงลึก (Market Intelligence) และเทคโนโลยีดิจิทัลมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อให้การผลิตสินค้าและบริการตอบโจทย์ตลาดจริง โดยเฉพาะตลาดใหม่ในต่างประเทศ
2.ไทยต้องพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารสู่ “อาหารอนาคต” (Future Food) เช่น อาหารสุขภาพ อาหารโปรตีนทางเลือก และอาหารฟังก์ชัน ที่สอดคล้องกับแนวโน้มความยั่งยืนของโลก (Sustainability) พร้อมสร้าง Value Chain ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

3.Technology Transformation & Digital Empowerment การนำเทคโนโลยีและ AI มาใช้ยกระดับทุกมิติของการค้า ตั้งแต่การผลิต การกระจายสินค้า ไปจนถึงการให้บริการภาครัฐ เช่น แพลตฟอร์ม “MOC+” (+ คือ ประชาชน) ที่กระทรวงพาณิชย์กำลังพัฒนา เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้สะดวก โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ
สำหรับ 3 ยุทธศาสตร์หลักของกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่…
ยุทธศาสตร์ที่ 1 เสริมรายได้ โดยเฉพาะภาคเกษตร : ปีนี้ไทยมีข้าวราว 25.8 ล้านตัน โดยมีข้าวหอมมะลิ 6.8 ล้านตัน ซึ่งตลาดรองรับได้ดี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ยังมีสต๊อกข้าว 1.8 ล้านตันที่ต้องบริหารให้ได้ราคาดีที่สุด กระทรวงพาณิชย์ได้ออกโครงการลดต้นทุนเกษตรกร เช่น โครงการธงเขียว ลดราคาปุ๋ย พร้อมดูแลสมดุลอุปสงค์–อุปทาน (Demand–Supply) เพื่อดูดซับผลผลิตส่วนเกิน และช่วยให้ราคาข้าวอยู่ในระดับเหมาะสม
ยุทธศาสตร์ที่ 2 สร้างและขยายตลาดใหม่ : ปัจจุบันไทยมี FTA แล้ว 14 ฉบับ ครอบคลุม 18 ประเทศ ซึ่งอยากให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น และเพิ่งลงนามกับกลุ่ม EFTA (ยุโรป 4 ประเทศ: สวิตเซอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ ลิกเตนสไตน์) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเจรจากับประเทศที่มีมาตรฐานสูง และยังเป็นต้นแบบไปสู่การเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป (EU) ที่ กระทรวงพาณิชย์กำลังเร่งเจรจา รวมทั้ง FTA ไทย–เกาหลีใต้ ที่จะเกิดผลเป็นรูปธรรมภายในต้นปีหน้า โดยภาครัฐจะกระตุ้นให้ภาคเอกชนใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ที่มีอยู่ให้มากขึ้น
ในส่วนของ ตลาดใหม่ กระทรวงพาณิชย์วางแผนจัด Trade Mission เจาะตลาดที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา โดยทำการบ้านล่วงหน้าร่วมกับภาคเอกชน เพื่อให้สินค้าตรงกับความต้องการของตลาดเป้าหมาย ทั้งด้านคุณภาพ ขนาด และบรรจุภัณฑ์
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ลดค่าครองชีพประชาชน : จัดโครงการธงฟ้ากว่า 1,300 ครั้งทั่วประเทศ โดยปีนี้จะขยายสู่พื้นที่ชายแดน 7 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดน เพื่อช่วยประชาชนลดค่าครองชีพ พร้อมเปิดความร่วมมือใหม่กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อเพิ่มความโปร่งใสด้านราคายา โดยประชาชนสามารถเลือกซื้อยาภายนอกโรงพยาบาลได้ในราคามาตรฐาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าครองชีพด้านยาได้กว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังจับมือกับไปรษณีย์ไทย และพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ผลักดันสินค้าชายแดนและสินค้าชุมชนเข้าสู่ตลาดของขวัญปลายปี ผ่านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจฐานราก
นางศุภจี กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดแข็งของประเทศไทย คือ ที่ตั้งซึ่งสามารถใช้เป็นฐานการผลิตและกระจายสินค้าได้ทั่วภูมิภาค และด้วยเครือข่าย FTA ที่ครอบคลุม จึงเป็นโอกาสสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนและขยายการค้าการลงทุนในอนาคต โดย ไทยต้องใช้จุดแข็งนี้ให้เต็มที่ ผสานกับองค์ความรู้และการนำเทคโนโลยีมาช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ก้าวออกจากกับดักรายได้ปานกลาง มุ่งสู่ประเทศที่ขับเคลื่อนด้วย Value-Based Economy เน้นนวัตกรรมและคุณค่าอย่างแท้จริง ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมสร้างความเชื่อมั่น ภาคเอกชนได้รับโอกาส และประชาชนได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน.