รีเซต – รีคัฟเวอร์

วิสัยทัศน์ “นายกฯอนุทิน” ทวงคืนตำแหน่ง “ผู้นำอาเซียน” อาจไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน! ไทยยังมีศักยภาพมหาศาล? หากคิดจะ “รีเซต – รีคัฟเวอร์ประเทศ” ล่ะก็…ไม่เพียงปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ  เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ทำระบบราชการทันสมัย หากยังต้อง “จัดหนัก!” แก๊งคอร์รัปเตอร์ ที่คอยกัดกินประเทศไทย ถึงตอนนั้น…เราจะเป็นได้มากกว่านี้ นั่นคือ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง!” อย่างแท้จริง!!!

ใครอยู่เบื้องหลังไม่รู้??? แต่การคิดวางแผนจัดงาน สัมมนาใหญ่ “The Future Direction of Thailand 2025 : เมื่อโลกเปลี่ยน…ประเทศไทยไปทางไหน?”

พ่วงงานหลัก ประกาศผลและมอบรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กร ประจำปี 2568 “CEO Econmass Awards 2025” ของ สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ที่จัดร่วมกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  เมื่อวานนี้ (8 ต.ค.) ณโรงละครอักษรา คิง พาวเวอร์ กรุงเทพฯ

ถือเป็น “โคตรนักกลุทธ์” ระดับหาตัวจับได้ยากยิ่ง!!!

ไม่เพียงตั้ง “หัวข้อ…ปาฐกถาพิเศษ / เสวนา / สัมมนา” ที่ตรงและเข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง หาก “ตัวละคร” คนสำคัญ ที่มาร่วมเป็น Guest Speaker ไม่ว่าจะเป็น…

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว.พลังงาน

และ ทีม กกร. (คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน) มาครบทั้ง…ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย 

ล้วนอยู่บนความสนใจและเข้ากับสถานการณ์จริงในปัจจุบันอย่างที่สุด!

การเตรียมการวางแผนจัดงาน…เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ มากกว่า 3 เดือน และยังเป็นช่วง “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร”

แต่ “นักกลยุทธ์” กลุ่มนี้ กลับคิดเรื่องนี้ ราวกับมองเห็นภาพอนาคต

จัดงานได้อย่างยิ่งใหญ่ ชนิด! เป็นข่าวดังไปทั่วอาเซียน เอเชีย และทั่วโลก โดยเฉพาะ “คำปกาศิต” จากปากของ “นายกฯอนุทิน” ที่กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย”

ใคร? พูดเรื่องอะไร? หลายสื่อ…แม้กระทั่ง สำนักข่าวยุทธศาสตร์ออนไลน์ ได้นำเสนอไปหมดแล้ว เซิร์จหาอ่านกันได้ไม่ยาก

แต่ที่ “ทีมข่าวยุทธศาสตร์” จะหยิบเอามาเขียนเชื่อมโยงถึงกัน ตรงนี้มันน่าสนใจมากกว่า…

เพราะในวันที่ “โลกหมุนเร็ว” และ เศรษฐกิจเปลี่ยนทิศอย่างไม่รอใคร เสียงเรียกร้องจากทุกภาคส่วนของไทย ดังขึ้นอีกครั้ง! ว่า…ประเทศนี้ จำต้องเร่ง “รีเซตตัวเอง” อย่างจริงจัง!!!

เพื่อกลับมาเป็น “ผู้นำเศรษฐกิจ” ของภูมิภาคอาเซียน เหมือนเช่นอดีต???…

เป็น “นายกฯอนุทิน” ที่เปิดประเด็นนี้…

โดยประกาศแนวทาง “รีเซตประเทศไทย 4 มิติ” ครอบคลุมด้าน…ความมั่นคง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม-ดิจิทัล และศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ก่อนจะย้ำว่า…

โลกยุคใหม่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งสงครามการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โรคระบาด และเทคโนโลยีใหม่ อย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลก หากประเทศไทยยังปรับตัวช้า ไม่เพียงที่ไทยจะสูญเสียความสามารถทางเศรษฐกิจเท่านั้น

แต่ยังสูญเสียอำนาจต่อรองในเวทีโลกอีกด้วย!!!

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขณะนี้ รัฐบาลได้มุ่งเน้น…การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ โดยเฉพาะ การยกระดับเกษตรกรด้วยระบบ Smart Farming การผลักดันพลังงานสะอาด และการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

พร้อมย้ำว่า…รัฐบาลจะใช้หลักนิติธรรมและความโปร่งใส เป็น “รากฐาน” ของการปฏิรูป และ จะเดินหน้าปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด! เพราะ ต้นทุนแฝงเหล่านี้ คือ สิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไทยขาดความสามารถในการแข่งขันมานานหลายทศวรรษ

เขายังกล่าวด้วยว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งจะช่วย ยกระดับมาตรฐานทางเศรษฐกิจและกฎหมายของประเทศให้เทียบเท่าสากล

ที่เป็นประเด็น และอยู่บนความสนใจของคนทั่วโลก นั่นคือ คำพูดที่ว่า…“ไทยต้องทวงคืนความเป็นผู้นำในภูมิภาค เพราะเราเคยอยู่แถวหน้า แต่กลับปล่อยให้เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามแซงหน้า เราจะต้องกระโดดให้ทันและกลับมาเป็นเบอร์หนึ่งอีกครั้งได้”

บนเวทีเดียวกัน และน่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ มุมมองและข้อเสนอของ ผู้ร่วมจัดงานนี้ นั่นคือ “ผู้บริหาร กกร.” ทั้ง 3 คน โดยพวกเขา…ได้สะท้อนภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจไทยอย่างตรงไปตรงมา ทั้งในแง่…ปัญหาเชิงโครงสร้าง ความเชื่อมั่นทางการเมือง และความสามารถในการแข่งขันที่กำลังถดถอยลงเรื่อย ๆ

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ประเทศไทยต้องเร่ง “ปลดล็อก” และ “เปลี่ยนผ่าน” ครั้งใหญ่ ทั้งในด้านเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ การค้าเสรี และระบบกฎหมายที่ล้าสมัย เพราะประเทศไทยไม่ได้ปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างมานานหลายสิบปี

การปฏิรูปครั้งนี้จึงต้องเกิดขึ้นอย่างจริงจังเพื่อให้ประเทศสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ในยุคเศรษฐกิจใหม่

นายพจน์ ย้ำอีกว่า สิ่งที่ควรปลดล็อกเร่งด่วน คือ การคอร์รัปชัน ที่เป็น “มะเร็งร้ายของชาติ” และเสนอให้รัฐบาลประกาศ “ซีโร่คอร์รัปชัน” เป็นนโยบายระดับประเทศ เพราะถ้าไม่สามารถปลดล็อกปัญหานี้ได้ การลงทุนจะชะงัก และเศรษฐกิจจะไม่สามารถเติบโตได้ในระยะยาว

ขณะที่ นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยแนวทาง “4 GO” ได้แก่ Go Digital and AI, Go Innovation, Go Global และ Go Green

โดยเน้นให้ ภาคธุรกิจไทยปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล สร้างนวัตกรรมใหม่ ลดการพึ่งพาการผลิตแบบ OEM และสร้างแบรนด์ของตัวเอง เพื่อขยับ ออกจากกับดักรายได้ปานกลาง ที่ประเทศติดอยู่มานาน

ปัจจุบัน คนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวราว 7,500 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งยังอยู่ เพียงครึ่งทางของเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นประเทศรายได้สูง

การก้าวพ้นจุดนี้…ต้องอาศัยนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่องจากรัฐ รวมถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วน

ด้าน นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ระบุว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึก ทั้งด้าน ผลิตภาพ ประสิทธิภาพของภาครัฐ และความไม่มั่นใจของนักลงทุน

แม้ระบบธนาคารพาณิชย์ มีสภาพคล่องสูงกว่า 5 ล้านล้านบาท แต่เงินทุนเหล่านี้ไม่ไหลไปสู่เอสเอ็มอีและผู้ประกอบการรายย่อยที่เป็นหัวใจของการจ้างงานถึง 70% ของประเทศ เพราะกลไกของระบบเศรษฐกิจยังไม่เปิดกว้างพอ

ภาคเอกชน…จึงเสนอให้ รัฐบาลออกแบบนโยบายที่มีแรงจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เช่น โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่เชื่อมโยงกับการเสียภาษีอย่างโปร่งใส เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว

ท่ามกลาง…การประกาศ “วิสัยทัศน์” ของ นายกฯอนุทิน และข้อเสนอของ “ผู้บริหาร กกร.” อีกด้านหนึ่ง…ในวันเดียวกัน ก็ปรากฏ สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจไทย ในแง่มุมที่อาจสะท้อน ความเปราะบางของสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ได้อย่างชัดเจน

เมื่อ การประชุมนัดแรก ของ นายวิทัย รัตนาการ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ ในวงถก คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง นายวิทัย ก็เพิ่งไปรับรางวัล “สุดยอดซีอีโอขวัญใจสื่อมวลชน” (ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน) จาก สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ

ที่ประชุม กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ในการประชุมครั้งล่าสุด ด้วยเหตุผลคือ…เศรษฐกิจยังอ่อนแรง! จากการบริโภคที่ชะลอตัวและการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

และ แบงก์ชาติต้องการเก็บ “ช่องทางผ่อนคลาย” ไว้เผื่อในอนาคต หากเศรษฐกิจชะลอตัวเกินคาด

การตัดสินใจดังกล่าว จึงเป็นสัญญาณว่า…รัฐบาลจะต้องใช้เครื่องมือทางการคลังเป็นตัวนำ เช่น มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ มาตรการภาษี และการช่วยเหลือเอสเอ็มอี เพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงปลายปี

ก่อนหน้านี้ ก็มีข้อมูลจาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ชี้ว่า…เศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะขยายตัวเพียง 1.8% ต่ำที่สุดในอาเซียน (ไม่นับเมียนมา) ในขณะที่ เวียดนามคาดว่าจะโตถึง 5.8% อินโดนีเซีย 5% และฟิลิปปินส์กว่า 6%

ความแตกต่างนี้! สะท้อนว่า…ประเทศไทยกำลังเผชิญ “กับดักการเติบโตต่ำ” ซึ่งเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างมากกว่าวัฏจักรเศรษฐกิจระยะสั้น หากไม่มีการปฏิรูปครั้งใหญ่ ประเทศจะไม่สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

ในแง่…การเมือง? เส้นทางของการ “รีเซตและรีคัฟเวอร์ประเทศไทย” ยังไม่ง่าย เพราะรัฐบาลปัจจุบันมีเวลาทำงานเพียงไม่กี่เดือน ก่อนเข้าสู่ช่วงเตรียมเลือกตั้ง

การผลักดันนโยบายใหญ่ที่ต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมาย อาจทำได้ยากในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ย่อมกระทบต่อกลุ่มผลประโยชน์เดิมที่มีอิทธิพลในหลายภาคส่วน

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลสามารถ “สร้างผลลัพธ์ระยะสั้น” ที่จับต้องได้ เช่น การเริ่มต้นเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ใหม่ การเปิดทางให้ต่างชาติลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือการผ่านกฎหมายต้านคอร์รัปชันที่ชัดเจน ฯลฯ

สิ่งนี้เหล่า…ก็อาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่น และสร้างแรงสนับสนุนจากประชาชนได้อย่างมาก

ก็เหมือนเช่นที่ นายกฯอนุทิน พูดบนเวทีในวันนั้น ทำนอง…เศรษฐกิจไทยยังมีจุดแข็งที่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกครั้ง ทั้งระบบการเงินที่มั่นคง สภาพคล่องสูง โครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และแรงงานที่มีทักษะในระดับที่ยังแข่งขันได้

เพียงแต่…จะต้องได้รับการ “รีสกิล” ให้ทันต่อเทคโนโลยีใหม่!!!

นอกจากนี้ ไทยยังมีศักยภาพใน…อุตสาหกรรมสีเขียว พลังงานสะอาด และยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต ซึ่งสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้หากรัฐบาลสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจมากขึ้น

มองในภาพรวม ทั้ง รัฐบาลและภาคเอกชนต่างเห็นพ้องกัน ว่า…ประเทศไทยต้องเร่ง “อัพเกรด” ตัวเอง เพื่อกลับมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาคอีกครั้ง

การประกาศ “วิสัยทัศน์” ของนายกรัฐมนตรี จึงถือเป็น “จุดเริ่มต้น!” ที่สำคัญ

แต่สิ่งที่จะกำหนดความสำเร็จไม่ใช่คำพูด หรือแผนงานบนเวที หากคือ “การลงมือทำจริง” อย่างต่อเนื่อง และการสร้างความโปร่งใสที่ประชาชนตรวจสอบได้

การทวงคืนตำแหน่ง “ผู้นำอาเซียน” ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน!!! นั่นเพราะ…ประเทศไทยยังมีศักยภาพมหาศาล

หาก รัฐบาล และ “นายกฯอนุทิน” สามารถปลดล็อกคอร์รัปชัน ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ยืดหยุ่น เปิดประเทศสู่เทคโนโลยีใหม่ และผลักดันระบบราชการให้ทันสมัย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชนอย่างจริงใจ

ประเทศไทยจะไม่เพียงกลับมา “ฟื้นตัว” แต่สามารถ “ยืนแถวหน้า” ในภูมิภาคได้อีกครั้งในอนาคตอันใกล้!!!

นี่คือ ความหวังใหม่ที่หลายฝ่าย เชื่อว่า…หาก “รีเซต – รีคัฟเวอร์ประเทศ” ได้จริง???

ประเทศไทยจะกลับมาเป็น “แชมป์อาเซียน” ได้อีกครั้ง! และไม่ใช่ใน…ในฐานะ “ประเทศที่ตามหลัง” เหมือนทุกวันนี้…

แต่ประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ ยังจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่อยู่ในสถานะ…

ผู้นำการเปลี่ยนแปลงของภูมิภาคนี้…ได้อย่างแท้จริง!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password