เปิดตัว TouristDigiPay แปลงคริปโตเป็นบาทจ่ายซื้อสินค้าในไทย หวังกระตุ้นการค้า-ท่องเที่ยว คาดเม็ดเงินเพิ่ม 1.75 แสนลบ.

รองนายกฯพิชัย นำเปิดตัว “โครงการ TouristDigiPay” มิติใหม่การชำระเงินของนักท่องเที่ยว หนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ภายใต้ Sandbox ลั่น! ควบคุมความเสี่ยง สกัด “ฟอกเงิน” ตั้งแต่ต้นทาง เชื่อก่อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย คาดเงินสะพัดเพิ่มปีละ 1.75 แสนล้านบาท เผย! ทดลองใช้ 18 เดือน ก่อนปรับเพิ่มวงเงินและประเภทสินค้า ระบุ! หากเปิดช่องซื้ออสังหาฯ-เรือยอร์ช-ทรัพย์มูลค่าสูง จะนำเข้าที่ประชุม ครม. ด้าน “ปลัดคลัง” ไม่ห่วงดีมานด์เงินบาทที่เพิ่มขึ้น ย้ำ! ไม่น่ากระทบค่าเงิน อัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ย

วานนี้ (18 ส.ค.2568) ณ ห้องกำปั่นทอง ชั้น 21 อาคาร 150 ปี กระทรวงการคลัง, นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พร้อมด้วย นายเผ่าภูมิโรจนสกุล รมช.คลัง, นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง, นางพรอนงค์ บุษราตาะกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ นายเศกสันฐ์ ง้าวสุวรรณ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว “โครงการ TouristDigiPay” โดยมี ตัวแทนภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ, ผู้สนใจ และ สื่อมวลชน จำนวนมากร่วมงานฯ
นายพิชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรที่สำคัญข้างต้น เปิดตัว “โครงการ TouristDigiPay” อย่างเป็นทางการ โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถือครองอยู่เป็นเงินบาท สำหรับใช้ชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่าง ๆ ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยกระบวนการทั้งหมดจะดำเนินการผ่าน ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการผสานศักยภาพของเทคโนโลยีทางการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าด้วยกัน เพื่อยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว

สำหรับ โครงการ TouristDigiPay ริเริ่มขึ้นจากความตระหนักถึงบทบาทสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในมิติของการสร้างรายได้ การส่งเสริมการจ้างงาน และการกระจายเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจฐานรากในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น ประกอบกับ ภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งนักท่องเที่ยวยุคใหม่มีพฤติกรรมในยุคดิจิทัลอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อวางแผนการเดินทาง การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และความนิยมในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น โครงการนี้จึงเป็นการต่อยอดระบบนิเวศทางการเงินที่มีอยู่เดิมให้เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ระหว่างระบบการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งกำกับดูแลโดยสำนักงาน ก.ล.ต. และ ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกำกับดูแลโดย ธปท. เพื่อตอบสนองต่อโอกาสใหม่ ๆ และความท้าทายในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสมัยใหม่
รองนายกฯและรมว.คลัง ย้ำว่า เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างรอบคอบและมีกลไกป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสม โครงการ TouristDigiPay จึงดำเนินการในรูปแบบโครงการทดสอบภายใต้ Sandbox โดยมีระยะเวลาเบื้องต้น18 เดือน ซึ่งหลังสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว จะมีการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อพิจารณาดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

“โครงการนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลให้สามารถใช้จ่ายในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น อันจะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้มีความทันสมัย สร้างโอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้าสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น ตลอดจนเป็น การส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ เพื่อรองรับการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัลในภาคเศรษฐกิจจริงอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัยภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่รัดกุม และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม” นายพิชัย ย้ำและว่า…
เบื้องต้น ได้มีการจำกัดวงเงินการใช้จ่ายไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินแก่ร้านค้าย่อย และไม่เกิน 500,000 บาท กรณีชำระเงินแก่ร้านค้าผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) โดยการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาท กำหนดให้เป็นไปตามที่ผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้โครงการ Sandbox กำหนด และสามารถแลกเปลี่ยนเงินบาทกลับเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ในวงเงินไม่เกินมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่แลกขาเข้า ร่วมถึงสามารถจะแลกเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลสกุลอื่นๆ ก็ได้

“เรากำลังพิจารณาโดยดูจากข้อมูลการดำเนินการในช่วง 18 เดือนนับจากนี้ หากผ่านพ้นช่วงเวลาไปแล้ว กระทรวงการคลังจะพิจารณาปรับเพิ่มเงื่อนไขการใช้จ่ายให้เพิ่มขึ้น และหากมีการขยายประเภทสินทรัพย์รองรับการซื้อขายผ่าน “โครงการ TouristDigiPay” เช่น อสังหาริมทรัพย์, เรือยอร์ช หรือทรัพย์สินที่มีค่าอื่นๆ ก็อาจจะนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ต่อไป” รองนายกฯพิชัย ย้ำและว่า ในส่วนของผู้ประกอบการร้านค้าทุกระดับ โดยเฉพาะรายเล็กและรายย่อย จะไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบใดๆ แต่จะเพิ่มโอกาสการขายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นและซื้อขายด้วยเงินบาทตามปกติ
ทั้งนี้ โครงการ TouristDigiPay ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้นำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) กับร้านค้าไม่ว่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม โดยร้านค้าต่าง ๆ จะยังคงได้รับชำระค่าสินค้าหรือบริการเป็นสกุลเงินบาทตามปกติ
“เราคาดหวังว่า ในจำนวนนักท่องเที่ยว 35 ล้านคน แต่ละคนจะใช้จ่ายเงินต่อคนต่อวันเพิ่มขึ้นสัก 10% นั่นก็หมายความว่าเราจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบจากโครงการนี้ราว 1.75 แสนล้านบาทต่อปี” รองนายกฯพิชัย ระบุ

ด้าน ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเคยมีการทดลองใช้ Sand BoX ในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งครั้งนั้นเป็นการกำหนดในเรื่องของพื้นที่ แต่ครั้งนี้จะเป็นเรื่องการใช้จ่ายในรูปของเงิน โดยไม่จำกัดพื้นที่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ชำระเงินได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ หลังได้รับฟังความเห็นจากหลายฝ่าย และดูแลการควบคุมปัญหาเกี่ยวกับการฟอกเงิน ซึ่งก็ได้รับการยืนยันจาก ปปง.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าสามารถจะป้องกันได้ตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งทำให้ระหว่างทางและปลายทางจะไม่เกิดปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใด
“ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ให้บริการ e-Money ที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตามที่สำนักงาน ปปง. กำหนดอย่างเคร่งครัด ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งในการทำความรู้จักตัวตนของผู้ใช้บริการ (Know Your Customer: KYC) การประเมินความเสี่ยงของลูกค้า (Customer Due Diligence: CDD) ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมดูแลและป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน”
ส่วนประเด็นที่หลายฝ่ายอาจกังวงใจ กรณีความต้องการใช้เงินบาทเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท อัตราแลกเปลี่ยน หรืออัตราดอกเบี้ยตามมาหรือไม่? เรื่องนี้ ปลัดฯลวรณ ย้ำว่า ไม่น่าจะเกี่ยวกัน เพราะโครงการนี้ มุ่งส่งเสริมการใช้จ่ายเงินบาท จากการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาแลกเปลี่ยนและใช้จ่ายภายในประเทศ ที่สำคัญเป็นเงินที่นักท่องเที่ยวจะต้องใช้จ่ายระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านโครงการนี้ อาจมีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากใช้ง่าย สะดวกและปลอดภัย.
You may also like

