งานเข้าแล้ว! กกต.รับคำร้อง สอบ ‘หมอเกศ’ ใช้วุฒิปลอม หลอกลวงให้ลงคะแนน
กกต.เร่งสอบ “หมอเกศ” ปมใช้วุฒิการศึกษาหลอกลวงให้ลงคะแนนเลือกเป็น สว. หลังสั่งรับ 2 คำร้องเป็นสำนวนตั้งแต่ก่อนประกาศรับรอง
วันที่ 17 ก.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีปัญหาวุฒิการศึกษาของ น.ส.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือ “หมอเกศ” สว.กลุ่ม19 (กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ) มีรายงานในส่วนของกกต.ขณะนี้พบว่า มีการรับ 2 คำร้อง ที่ขอให้กกต.ตรวจสอบว่า การที่น.ส.เกศกมล ระบุประวัติการศึกษาว่าเป็น ศาสตราจารย์ จบปริญญาเอกจาก California University ในใบเอกสารแนะนำตัว สมาชิกวุฒิสภา (สว.3) เข้าข่ายเป็นการกระทำหลอกลวง จูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือ ชื่อเสียงเกียรติคุณเพื่อให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ตนตามมาตรา77(4) พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สมาชิกวุฒิสภา 2561หรือไม่ เป็นสำนวนเพื่อดำเนินการตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาด 2566 โดยเลขาธิการฯกกต.มีคำสั่งรับเป็นสำนวนเมื่อวันที่ 1 ก.ค 67 และ อีกคำร้องกกต.มีมติสั่งรับเป็นสำนวนเมื่อวันที่ 5 ก.ค.67
ส่วนที่ กกต.ประกาศรับรอง น.ส.เกศกมล ให้เป็นสว.เมื่อวันที่10ก.ค.ทั้งที่รับ2คำร้องดังกล่าวเป็นสำนวนแล้ว แหล่งข่าวระบุว่า เนื่องจากตามกฎหมายไม่ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครสว.ว่า ต้องมีวุฒิการศึกษาระดับใด น.ส.เกศกมล จึงไม่มีประเด็นที่ถูกร้องเรื่องขาดคุณสมบัติ แต่เป็นการกล่าวหาว่าข้อมูลประวัติการศึกษาใน ใบสว.3 เป็นการหลอกลวงให้ลงคะแนนเลือก ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบ หาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ โดยต้องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาตามที่ระเบียบกกต.กำหนด กกต.จึงประกาศรับรองน.ส.เกศกมลไปก่อน และขณะนี้กำลังเร่งสืบสวนไต่สวนตามคำร้องตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.2561 มาตรา 77 กำหนดไว้ว่า
ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (4)หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้บุคคลอื่น เข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้สมัครใด เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นสมัครเข้ารับเลือก เป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือถอนการสมัคร หรือกระทำการใด ๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้นั้นหมดสิทธิ ที่จะเลือกหรือได้รับเลือก หรือเพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี.