‘แบงก์ชาติ – สภาพัฒน์’ เตือนรัฐบาล ตั้งงบกลางปี 67 แจกเงินดิจิทัล ดันหนี้พุ่ง!
‘แบงก์ชาติ’ – ‘สภาพัฒน์’ เตือนรัฐบาลตั้งงบประมาณกลางปี 2567 แจกเงินดิจิทัล 1.22 แสนล้านบาท เสี่ยงฉุดความเชื่อมั่นวูบ เหตุภาระการชำระหนี้ภาครัฐพุ่ง โดยเฉพาะหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ยภาครัฐที่เพิ่มขึ้น เพิ่มความเสี่ยงทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นข้างหน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มเติมปี 2567 หรือ งบกลางปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อเดินหน้าโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ตามนโยบายรัฐบาล โดย การจัดทำงบฯดังกล่าว ทำให้การกู้ขาดดุล เพิ่มขึ้นอีก 1.12 แสนล้านบาท เนื่องจากมีการตั้งเป้าจัดเก็บรายได้จากงบประมาณส่วนนี้ไว้เพียง 1 หมื่นล้านบาท ทำให้การขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณปี 67 เพิ่มขึ้นเป็น 815,056 ล้านบาท
ซึ่งตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ กำหนดว่าให้การตั้งงบขาดดุลจะต้องอยู่ในสัดส่วนไม่เกิน 20% ของงบฯจ่ายประจำปี และต้องไม่เกิน 80% ทำให้ภายหลังจากที่รัฐบาล มีการกู้เงินเพิ่มเติมมาทำงบกลางปี 2567 อีก 1.12 แสนล้านบาท จะทำให้การขาดดุล ขึ้นไปอยู่ในระดับ 805,000 ล้านบาท และมีกรอบให้รัฐบาลกู้เงินคงเหลืออยู่เพียง 10,056 ล้านบาท เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้จัดทำความเห็นเสนอเข้ามายังที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อประกอบการพิจารณาโดยสาระสำคัญของความเห็นที่เสนอมานั้น ในส่วนของ ธปท.โดย นางอลิศรา มหาสันทนะ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ซึ่งเสนอความเห็นว่า ธปท. พิจารณาแล้วไม่ขัดข้องกับวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ที่สำนักงบประมาณเสนอ
แต่การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในครั้งนี้ จะส่งผลให้มีการปรับเพิ่มการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพการคลัง จึงควรพิจารณาจัดการกับความเสี่ยงทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะหนี้สาธารณะ และภาระดอกเบี้ยภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และต้นทุนการระดมทุนของภาครัฐ และเอกชน อีกทั้งควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูป และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้รัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงดำเนินนโยบายภาษีที่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้รัฐบาลเท่าที่จำเป็น
ขณะที่ สศช. มีข้อสังเกตว่า วงเงินงบประมาณ รายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ส่งผลให้ภาระหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น และพื้นที่ทางการคลังลดลงในช่วง ปีงบประมาณ 2567-2568 อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปี 2567 ควรเร่งเบิกจ่ายให้เม็ดเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 และ ปีงบประมาณ 2568 เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพทางการคลังในช่วงถัดไป โดยการลดขนาดการขาดดุลงบประมาณให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งกำหนดเป้าหมาย และแนวทางที่ชัดเจนในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล และจัดสรรงบชำระหนี้ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้ และดอกเบี้ย
ทั้งในส่วนของหนี้รัฐบาล และหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รัฐให้ดำเนินโครงการของรัฐที่ครบกำหนดชำระในแต่ละปีงบประมาณ เพื่อให้มีพื้นที่ทางการคลังเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง รักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อยั่งยืนนาน และลดความเสี่ยงต่อความยั่งยืนทางการคลัง
ในส่วนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า ไม่ขัดข้องหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ และกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะแล้ว กรณีนี้จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาให้ความเห็นชอบได้ตามที่เห็นสมควร.