อัยการอาวุโส รับ ปม “นักโทษเทวดา” ทำกระบวนการยุติธรรมเสียหายหนัก
“ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม” อัยการอาวุโส ให้จับตา คดีทักษิณ มาตรา 112 ลั่นสั่งฟ้อง-ไม่ฟ้อง แจงได้หมด ยอมรับกรณี “นักโทษเทวดา” ทำกระบวนการยุติธรรมไทย เสียหายหนัก
วันที่ 25 ก.พ.2567 นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ต่อกระบวนการยุติธรรมประเทศไทย หลังเกิดกรณี นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษ โดยไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียว หรือ ที่เรียกกัน “ทัณฑ์ทิพย์” ว่า ความเห็นส่วนตัวของผม มันเสียหาย ในฐานะเป็นครูกฎหมาย สอนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
“ผมว่ามันเสียหายเพราะการที่คนจะถูกจำคุกนอกเรือนจำ มีอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 89/2 การจะให้คนอยู่นอกคุกได้ ต้องขออนุญาตศาล ศาลต้องเป็นผู้ให้อนุญาตแต่กฎหมายบ้านเราทำไมถึงปล่อยให้เป็นเรื่องของ กรมราชทัณฑ์ ในเมื่อศาลเป็นผู้ลงโทษ หากราชทัณฑ์เห็นว่า นักโทษควรอยู่นอกเรือนจำ ควรต้องไปขอต่อศาลหรือไม่ ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล Check and Balance ต้องมี อันนี้คือการตั้งข้อสังเกตุ เพราะระบบกระบวนการยุติธรรม มีการ Check and Balance ตลอด อัยการเช็คตำรวจ ศาลเช็คอัยการ อัยการก็เช็คศาล ให้มีระบบการอุทธรณ์คดีและฎีกา ระบบเป็นแบบนี้“
นายปรเมศวร์ กล่าวด้วยว่า ถ้าพูดถึงการพักการลงโทษนายทักษิณ หากถามผม ผมว่าก็ควรได้พัก เพราะคนที่เคยรักษาตัว นอนอยู่ รพ.นานๆ มีอีกคนที่เราไม่ค่อยได้พูดถึง คือ นายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ อยู่รพ.ตั้งนาน แต่เอาละ ไม่ว่ากัน แต่เรื่องนี้ที่ติดใจคือ ตรงกระบวนการที่ว่าความยุติธรรมจะหมดไปหรือไม่ กระบวนการพักการลงโทษ เขาไม่ได้ประชุมกันปีละครั้ง เขาประชุมกันทุกเดือน พักการลงโทษ แต่ยังไม่เห็นสื่อไ ปตามว่าการพักการลงโทษเขาทำอย่างไร และเที่ยวนี้ การพิจารณาพักการลงโทษ หรือ ลดวันต้องโทษ ซึ่งผมเคยเป็นกรรมการพิจารณาลดวันต้องโทษ เขาต้องดูเงื่อนไขว่ามีครบหรือไม่ ผ่านการอบรมครบหรือไม่ มีการฝึกอบรมอาชีพอะไรหรือยัง และหากปล่อยนักโทษออกไปเช่นนักโทษคดีข่มขืน ต้องไปดูด้วยว่าผู้เสียหายยังพักอยู่ในพื้นที่ละแวกเดียวกันหรือไม่ เขาดูหมดทุกระบบ กรมราชทัณฑ์เขาทำดีมาตลอด
“เมื่อเงื่อนไขครบ จึงพักการลงโทษ เงื่อนไขครบ จึงลดการต้องโทษ และคำถามในวันนี้ คุณทักษิณจะครบเงื่อนไข ที่จะอยู่ในวันที่เท่าใด แล้วทำไมกรณีนี้ ถึงมีการพิจารณาล่วงหน้า ที่ผมติดใจ ผมติดใจประเด็นนี้ ทำไมไม่รอที่จะครบกำหนดวันอาทิตย์ แล้วค่อยมาพิจารณาวันจันทร์ จากนั้นวันอังคารค่อยออกมา ก็ติดใจตรงนี้ ต้องมองทั้งระบบ มันทำให้กระบวนการยุติธรรม เสียหายไปเยอะ ผมก็พยายามกระตุกความคิดของสังคม”
ถามว่า จะสามารถกู้ศรัทธา กระบวนการยุติธรรมไทยได้อย่างไร นายปรเมศวร์ กล่าวว่า ตอนนี้ก็ต้องบอกว่าทุกอย่างต้องเป๊ะหมด ต้องตรง เรื่องต่อไป ก็ คดีมาตรา 112 ของคุณทักษิณ ที่ก็ไม่รู้ว่าคดีจะเป็นอย่างไร แต่ว่าอัยการสูงสุดจะสั่ง อย่างไร เชื่อว่ามันจะมีคำอธิบาย สั่งฟ้องก็ต้องอธิบาย สั่งไม่ฟ้อง ก็ต้องอธิบาย ที่ผ่านมา ตนให้สัมภาษณ์มาตลอดว่า คดีมาตรา 112 พูดกันตรงๆ พรรคก้าวไกลเอง ก็คิดผิด 112 ไม่ใช่ว่าคนสั่งคดีคนเดียว เพราะ ระบบการสั่งคดี 112 หากมีคดี 112 ในต่างจังหวัด ตำรวจสอบสวนเสร็จก่อนจะมีความเห็นทางคดี ต้องส่งเรื่องมายัง คณะกรรมการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีกรรมการร่วม 20-30 คน มาพิจารณาก่อนว่าจะเอาอย่างไร เสร็จแล้วถึงส่งกลับไปยังพนักงานสอบสวน แล้วพนักงานสอบสวน ก็ส่งไปให้อัยการจังหวัด อัยการจะมีความเห็นสั่งคดี ก็ต้องส่งมาให้สำนักงานอัยการสูงสุดอีกที ซึ่งมีคณะกรรมการพิจารณา ที่เป็นระดับอธิบดีที่พิจารณา เรื่องคดีของสำนักงานอัยการสูงสุดอีกเป็นสิบคนมาดูกัน แล้วอัยการสูงสุดสั่งคดี ก็ไม่ได้ทำคนเดียว ก็ฟังความเห็นของอธิบดีอัยการเกือบทั้งหมด ขอให้เชื่อใจ เราพยายามทำอย่างมีเหตุมีผล
“จับตาดูต่อไป ซึ่งก็จะดูว่า หนึ่ง คดีนี้คุณทักษิณพูดจริงหรือไม่ พูดเป็นภาษาอังกฤษใช่ไหม แล้วแปลเป็นไทยว่าอย่างไร แล้วเจตนา คือ เขาก็พิจารณาหมด อย่าเพิ่งไปมโนล่วงหน้า ให้มันเกิดก่อนแล้วค่อยว่ากัน” นายปรเมศร์ กล่าวและย้ำว่า การสั่งคดีดังกล่าว จะเป็นบทพิสูจน์ และ เรียกศรัทธา กระบวนการยุติธรรมได้หรือไม่ ก็เป็นจุดหนึ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่น แต่ 10 เมษายน คดีจะเสร็จหรือไม่เสร็จยังไม่รู้ คือต้องเข้าใจว่าคดีนี้ เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ต้องใช้เวลาเช่นการขอเทป ขอเสียง ขอภาพมาดู ต้องดูทั้งหมด อยากให้ทุกคนใจเย็นๆ.