กรอบ…สกัด!

(ประชามติที่ไปไม่ถึงวันเลือกตั้ง… เมื่อกรอบกฎหมายขวางการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ)

ความพยายามจะจัดประชามติ “คำถาม 1” ว่าด้วยการทำรัฐธรรมนูญใหม่ พร้อมวันเลือกตั้ง 8 กุมภาพันธ์ กลับติดขัดเพราะกรอบกฎหมายไม่สอดคล้องกัน เปิดภาพซ้อนของระบบการเมืองไทยที่กำลังเดินหน้าเลือกตั้งภายใต้ข้อจำกัดเชิงเวลา งบประมาณ และอำนาจของรัฐบาลรักษาการ ขณะที่พรรคการเมืองยังต้องขยับตามกฎเข้มงวดที่ไม่รอความพร้อมของใครเลย

ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ขยับเร็ว! ภายหลังการยุบสภาและการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์สำคัญที่สะท้อนความซับซ้อนของโครงสร้างอำนาจและระบบกฎหมายที่เกี่ยวพันกันหลายชั้น

เมื่อ รัฐสภาลงมติส่ง “คำถามประชามติ” เกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปยังคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการต่อ ความหวังว่าจะได้เห็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของประชาชน ในวันเดียวกับการเลือกตั้ง ส.ส. วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 จึงถูกจับตาอย่างใกล้ชิด

ทว่าเมื่อพิจารณาในรายละเอียดของกฎหมายที่กำหนดกรอบเวลาไว้ การทำประชามติพร้อมกันดูเหมือนจะเป็นความหวังที่ยากจะเป็นจริงตั้งแต่ต้น และความเป็นไปไม่ได้นี้ ไม่เพียงเป็นปัญหาในทางเทคนิคทางกฎหมาย

แต่ยังสะท้อนภาพปัญหาเชิงโครงสร้างของการเมืองไทยอย่างลึกซึ้งกว่านั้น

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง ตั้งข้อสังเกตอย่างชัดเจนว่า กฎหมายที่กำกับกระบวนการเลือกตั้งและการทำประชามติ “ไม่สามารถหาจุดลงตัวร่วมกันได้” เพราะเมื่อพระราชกฤษฎีกายุบสภามีผลบังคับใช้

การเลือกตั้งต้องเกิดขึ้นภายในกรอบ 45–60 วันเท่านั้น

ส่วนการทำประชามติ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนรับข้อมูล ถกเถียง และพิจารณาอย่างรอบด้าน กลับมีกฎหมายกำหนดไว้ว่า…ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 60 วัน เมื่อคำนวณระยะเวลาจริง การกำหนดให้ประชามติจัดขึ้น พร้อมวันเลือกตั้ง จึงเป็นไปไม่ได้หากยึดตามบรรทัดฐานของกฎหมายที่มีอยู่

นอกจากนี้ หากรัฐบาลต้องการเดินหน้าจัดประชามติในวันอื่น เช่น ช่วงกลางเดือนมีนาคม ก็ยังมีอุปสรรคสำคัญเรื่องงบประมาณ ซึ่งประเมินว่า…จะต้องใช้เงินเพิ่มอีกประมาณ 4,000 ล้านบาท

ที่สำคัญกว่านั้น คือ สถานะของคณะรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้น จะอยู่ในฐานะ “ครม.รักษาการ” ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 (1) ไม่สามารถอนุมัติโครงการที่มีผลผูกพันต่อรัฐบาลชุดต่อไปได้ เว้นแต่ถูกบรรจุไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีแล้ว

คำถามจึงไม่ใช่เพียงว่า “จะจัดประชามติหรือไม่?” แต่คือ “ครม.รักษาการมีอำนาจตามกฎหมายเพียงพอที่จะอนุมัติหรือไม่”

ความไม่ลงตัวนี้…ไม่ได้สะท้อนแค่ข้อจำกัดเชิงกฎหมาย หากยังเปิดเผยความไม่พร้อมของโครงสร้างรัฐไทยในการรองรับกระบวนการประชาธิปไตย ที่ต้องอาศัยทั้งเวลา ความยืดหยุ่น และงบประมาณ

ในขณะที่โจทย์ใหญ่เรื่องประชามติยังหาคำตอบไม่ได้ ระบบกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง กลับเดินหน้าตามกลไกปกติอย่างเข้มงวด โดยไม่มีความล่าช้า

ภายหลังการยุบสภาฯ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศกรอบกติกาการหาเสียงอย่างละเอียด ทั้งในเรื่องเพดานค่าใช้จ่าย และข้อห้ามเกี่ยวกับการซื้อเสียงหรือการมอบประโยชน์ใด ๆ เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

โดยผู้สมัครแบบแบ่งเขต ถูกกำหนดให้ใช้จ่ายไม่เกิน 1.9 ล้านบาทต่อคน

ขณะที่พรรคการเมืองที่ส่งบัญชีรายชื่อ ต้องอยู่ภายใต้กรอบไม่เกิน 44 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้…สะท้อนเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้การแข่งขันเป็นธรรม

แต่ก็ชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งว่า การเมืองไทยถูกควบคุมด้วยกรอบที่ละเอียดระดับ “เม็ดทราย” แม้ในขณะที่ประเด็นระดับโครงสร้างอย่างประชามติรัฐธรรมนูญยังไร้ความชัดเจน

กกต.ยังได้เน้นย้ำข้อห้ามสำคัญ เช่น การแจกเงิน ของ หรือผลประโยชน์ใด ๆ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายตามมาตรา 73 การประกาศกฎเกณฑ์เช่นนี้แม้จะเป็นมาตรการปกติของทุกการเลือกตั้ง

แต่เมื่อวางเคียงกับสถานการณ์ที่ใหญ่กว่าคือการทำประชามติที่ยังไม่อาจเดินหน้าได้ ก็ยิ่งทำให้เห็นรอยปริในระบบการเมืองไทยที่ยังไม่สามารถจัดการ “เรื่องใหญ่” ให้เป็นระบบได้

ขณะที่เรื่องปลีกย่อยกลับสามารถออกประกาศ กำหนดกติกา และควบคุมได้อย่างละเอียดรัดกุม

ขณะเดียวกัน พรรคการเมืองก็ถูกกำชับให้ดำเนินการภายใต้กฎหมายพรรคการเมืองอย่างเคร่งครัด ทั้งการหาสมาชิก การตั้งสาขาพรรค การแต่งตั้งตัวแทนประจำจังหวัด และกระบวนการสรรหาผู้สมัคร ส.ส. ทุกขั้นตอน ล้วนต้องทำโดยมีตัวบทกฎหมายกำกับ

แถมยังพ่วงโทษหนักในกรณีที่ฝ่าฝืน ตั้งแต่โทษปรับ ไปจนถึงโทษจำคุก และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งรวมถึงโทษขั้นสูงสุด คือ “ยุบพรรค”

กระบวนการทั้งหมดนี้ บอกเราว่า…แม้ในช่วงที่ประเทศกำลังอยู่ในภาวะเปลี่ยนผ่านสู่การเลือกตั้ง พรรคการเมืองทั้งหลายก็ถูกบังคับให้เดินในเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้แทบทุกฝีก้าว

ราวกับว่า…ระบบพยายามควบคุมความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ทั้งที่อีกด้านหนึ่ง รัฐกลับยังไม่สามารถจัดหลักไมล์สำคัญอย่างประชามติรัฐธรรมนูญให้เดินหน้าได้

เมื่อมองภาพรวม จะเห็นความไม่สมดุลที่เด่นชัดระหว่าง “ระดับระบบรัฐ” กับ “ระดับปฏิบัติการ” ระดับบนมีความย้อนแย้ง ไม่ชัดเจน และติดกับกฎหมายที่วางตัวไม่สอดคล้องกันระหว่างประชามติและการเลือกตั้ง

ขณะที่ระดับล่างกลับเดินหน้าในกรอบกฎหมายอย่างแข็งแรงราวกับทุกอย่างเป็นปกติ จุดนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ระบบการเมืองไทยพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จริงหรือไม่

เมื่อเครื่องมือสำคัญอย่างประชามติในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ยังไม่อาจหาจุดลงตัวได้ แม้ความต้องการของสังคมจะมีอยู่มาก และแม้รัฐสภาจะพยายามส่งต่อกระบวนการให้รัฐบาลดำเนินการต่อแล้วก็ตาม

ท้ายที่สุด ความไม่ลงตัวของไทม์ไลน์และข้อจำกัดทางอำนาจของ “ครม.รักษาการ” อาจไม่ใช่เพียงปัญหาเฉพาะหน้า แต่สะท้อนโครงสร้างรัฐธรรมนูญปัจจุบันที่ออกแบบให้รัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านทำได้เพียง “บริหารงานไปวันต่อวัน” โดยไม่มีพื้นที่ในการตัดสินใจเรื่องใหญ่อย่างการทำประชามติ

ขณะที่ กฎหมายระดับรองตั้งแต่ กกต.จนถึงกฎหมายพรรคการเมือง กลับมีกลไกควบคุมละเอียดในทุกมิติ ภาพนี้…ชี้ให้เห็นถึง ความไม่สมดุลของอำนาจที่ติดอยู่กับกรอบกฎหมาย ซึ่งไม่เปิดพื้นที่พอสำหรับ กระบวนการประชาธิปไตยเชิง substantive ที่ต้องการความยืดหยุ่น ความกล้าตัดสินใจ และการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ในระดับรัฐ

ทั้งหมดนำไปสู่คำถามปลายเปิดว่า หากแม้เพียง “การถามประชาชน” ก็ยังติดกับดักเวลาและกฎหมายเช่นนี้ การเดินหน้าสู่การปฏิรูปใหญ่ของสังคมไทยจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และระบบรัฐควรปฏิรูปตัวเองก่อนเปิดทางให้ประชาชนปฏิรูปรัฐธรรมนูญหรือไม่?

สิ่งเหล่านี้…กลายเป็นโจทย์ที่สังคมไทยต้องคิดร่วมกันหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร?.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password