‘ศาลทหาร VS ความมั่นคงใหม่’ แยกบทบาททหารจากการละเมิด กม.?

กระแสแก้ร่าง พ.ร.บ.ศาลทหารปะทุ หลังกรรมาธิการเสนอให้คดีทุจริตและคดีทหารทำต่อประชาชนกลับไปอยู่ศาลทหาร ท่ามกลางภาพลักษณ์กองทัพที่ดีขึ้นจากสถานการณ์ชายแดน คำถามใหญ่จึงย้อนกลับมาว่า ความมั่นคงของชาติแท้จริงอยู่ที่กำลังรบ หรืออยู่ที่การตรวจสอบอย่างเป็นธรรมกันแน่

ท่ามกลาง กระแสน้ำป่าและน้ำฝน ไหลทะลักท่วม! พื้นที่ภาคใต้?…บทบาทของ กองทัพ ต่อเนื่องจากภารกิจ ปกป้องอธิปไตย บริเวณชายแดนกัมพูชา

คงไม่พ้น…การเข้าร่วมภารกิจ “ช่วยเหลือ…เยียวยา” เหยื่อที่ได้รับผลกระทบจาก ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมครั้งร้ายแรงอีกครั้งในประวัติศาสตร์ด้ามขวานทองของไทย

อีกเรื่องที่ ร้อน! แทรกกลางขึ้นมา และอาจกระทบ ต่อภาพลักษณ์ของกองทัพ นั่นคือ…ปมที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะ ประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ออกมาโวยวายถึงบทบาท “พรรคร่วมฝ่ายค้านฯ” อย่าง…พรรคเพื่อไทย

หลัง พรรคการเมือง…ที่เคยอยู่ใน “หัวใจ” ของคนเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตย “กลับลำ!” นำ “คดีทุจริตของทหาร” กลับไปอยู่ในอำนาจศาลทหารเช่นเดิม

นายวิโรจน์ ระบุว่า…“ในการประชุม คณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา มีเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างมาก เพราะร่างแก้ไขเดิมได้มีการแก้ไขมาตรา 14 โดยกำหนดให้ทหารที่กระทำทุจริตและประพฤติมิชอบ ต้องถูกพิจารณาในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เฉกเช่นเดียวกันกับข้าราชการอื่นๆ

ซึ่งจะเป็น กลไกสำคัญในการแก้ไขและป้องกันปัญหาการทุจริตภายในกองทัพ ทำให้กองทัพมียุทโธปกรณ์ที่มีคุณภาพ สามารถปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่มีความปลอดภัย และทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพในสายตาประชาชนดีขึ้น

ที่สำคัญ คือ จะทำให้เหตุการณ์อัปยศอย่างกรณี GT200 ไม่เกิดขึ้นซ้ำ จนทำให้กองทัพต้องเสื่อมเสียศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิจนต้องอับอายไปทั่วโลกอีก

แต่ปรากฏว่า คุณธงทอง นิพัทธรุจิ กรรมาธิการสัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้เสนอให้การทุจริตและประพฤติมิชอบ ยังคงถูกพิจารณาในศาลทหารเช่นเดิม และที่ประชุมมีเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย

กระแสการเมืองร้อนแรงในชั้นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ได้รับ…???

การปะทุ! ในชั้นกรรมาธิการฯครั้งนี้ อาจกระทบต่อ “เป้าหมายหลัก” ของข้อเรียกร้องให้มีการ “ปฏิรูปกองทัพ” มาอย่างยาวนาน

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ ได้ท้าทายภาพลักษณ์ “ด้านบวก” ของกองทัพ โดยเฉพาะกับ “คำถามตัวโต ๆ”  ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา นั่นคือ การตรวจสอบคดีทหาร…ทั้งปมการทุจริตภายในกองทัพ และคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อประชาชน…

โดยเฉพาะเรื่อง “ความโปร่งใส” ในการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ! มากกว่า…การยึดติดกับภาพลักษณ์จากเหตุการณ์ชายแดนกัมพูชาและน้ำท่วมภาคใต้ หรือไม่???

ก็อย่างที่ นายวิโรจน์ ว่าไว้…กรณีตัวแทนพรรคเพื่อไทย เสนอให้แก้เนื้อหาในมาตรา 14 และปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่ของกรรมาธิการฯ เห็นชอบกับข้อเสนอดังกล่าว ทำให้การปฏิรูปโครงสร้างศาลทหารที่ถูกเสนอเป็น “หัวใจสำคัญ” ของร่างกฎหมายฉบับนี้…เริ่มสั่นคลอนอย่างมีนัยสำคัญ!!??

นอกจากนั้น การแก้ไขในส่วนของ “คดีอาญาที่ทหารกระทำต่อประชาชน” ซึ่งควรไปสู่…ศาลยุติธรรม ตามร่างเดิม นั้น ยังถูกเสนอให้ “ตัดทิ้ง!” ออกไปทั้งหมด โดยแม้จะยัง ไม่มีการลงมติ แต่การ “ถอย” ในส่วนนี้…ย่อมสะเทือน! ต่อความเชื่อมั่นของญาติเหยื่อเหตุการณ์สำคัญ เช่น คดี 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519, พฤษภา 2535, เหตุสลายการชุมนุมปี 2553 ฯลฯ

ตลอดจน คดีความในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น กรณีอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ที่ครอบครัวยังคงรอความเป็นธรรมมาจนถึงปัจจุบัน

การกลับไปสู่ระบบเดิม! ยังหมายถึง…การยื้อให้คดีที่เคยถูกหยิบยกเป็น “ตัวอย่าง” การลอยนวลพ้นผิด! ตั้งแต่…คดี GT200, น้องเมย, 6 ศพวัดปทุมฯ ไปจนถึงเหตุการณ์ซ้อมทรมาน…

ยังคง “วนกลับ” สู่วงจรที่โอกาสการจะ “เอาผิด” กะยผู้กระทำผิด…ยากยิ่งขึ้น!!!

ตาม “โครงสร้างศาล” ที่อยู่ ใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงกลาโหม และมี “ตุลาการส่วนใหญ่” เป็นนายทหารสังกัดเดียวกัน อาจทำให้เกิดความ “ทับซ้อน” ระหว่าง…“ผู้ถูกกล่าวหา” กับ “องค์กรที่รับผิดชอบกระบวนการพิจารณาคดี”

แม้ “ภาพลักษณ์” ของทหารในภารกิจ “ป้องกันชายแดน” จะเป็น…ที่พึ่งทางจิตใจของประชาชน ในช่วงเวลาวิกฤต แต่การนำ “ความนิยมชั่วคราว” มาเป็นเหตุผล “ลด” มาตรฐานการตรวจสอบ ย่อมสะท้อนความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ “ความมั่นคงของชาติ” อย่างมีนัยสำคัญ???

นักวิชาการด้านความมั่นคง ชี้ตรงกันว่า ประเทศที่มีกองทัพเข้มแข็งที่สุด! เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ต่างแยกระบบศาลทหารให้รองรับ “ภารกิจทางทหารในภาวะสงครามและวินัยภายในกองทัพ” เท่านั้น ไม่ได้ใช้ “ศาลทหาร” เพื่อพิจารณาคดีทุจริต คดีฆาตกรรม หรือคดีอาชญากรรมต่อพลเรือน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกับสังคมพลเรือน

ภายใต้หลักคิดนี้ “ภารกิจป้องกันประเทศ” ไม่ได้ถูกลดทอนลงแม้แต่น้อย!!!

การสู้รบ, การลาดตระเวนชายแดน, การปฏิบัติการตามคำสั่งในพื้นที่สู้รบ หรือการรักษาความมั่นคงในพื้นที่เสี่ยง ยังเป็น…อำนาจหน้าที่เฉพาะของกองทัพ และอยู่ในเขตอำนาจศาลทหารตามเดิม

แต่ “การละเมิดกฎหมายต่อประชาชน” ไม่ว่าจะเป็น…การซ้อมทรมาน, การยิงประชาชนโดยไร้อาวุธ, การทุจริตในโครงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ หรือการใช้อำนาจโดยมิชอบ ย่อม “ต้องแยก!” ออกจาก…บทบาทปกป้องชาติอย่างชัดเจน

การนำแนวคิด “2 มิติ” นี้มาปนกัน! ย่อมทำให้…ภาพของกองทัพ ในสายตาประชาชน พร่าเลือนไปมากขึ้น!!!

ในเชิงยุทธศาสตร์ความมั่นคง! การ “ตรวจสอบ” อย่างโปร่งใส ถือเป็นเครื่องมือสร้าง “กองทัพที่ประชาชนเชื่อถือ” มากกว่า…การรักษาอำนาจ “ศาลทหาร” โดยไร้ขอบเขต!

ยิ่งทหารควบคุมงบประมาณขนาดใหญ่…การเปิดให้ “ศาลยุติธรรม” ตรวจสอบคดีทุจริต และคดีละเมิดสิทธิมนุษยชน ย่อมช่วยให้กองทัพมีภาพลักษณ์มืออาชีพ และเสริมศักยภาพป้องกันประเทศ มากกว่าการปล่อยวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด

ในด้านการเมือง กระแสคัดค้านจากฝ่ายประชาชน, นักสิทธิมนุษยชน และนักวิชาการเริ่มปรากฏชัด! โดยหลายฝ่ายมองว่า…การที่ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยเป็น “สัญลักษณ์” ของกลุ่มผู้สูญเสีย…จากเหตุสลายการชุมนุมปี 2553 กลับมี “ท่าที” ที่อาจถูก “ตีความ” ว่า “ถอย” จากแนวทางปฏิรูปกองทัพ

อาจ “เสี่ยง!” กระทบต่อฐานสนับสนุนที่ต้องการความยุติธรรมข้ามยุคอย่างมาก

ขณะที่ พรรคประชาชน และกลุ่มการเมืองรุ่นใหม่ ต่างยืนกรานใน หลักการ ที่ว่า “คนเท่ากัน” และ “คดีอาญาที่ทหารทำกับประชาชนต้องอยู่ในศาลยุติธรรม” ไม่ใช่ “ศาลพิเศษ” ภายใต้กองทัพเอง

ภาพรวมสถานการณ์ทั้งหมด…จึงสะท้อน “ความขัดแย้ง” เชิงโครงสร้าง! ที่สังคมไทยเผชิญมายาวนาน ระหว่าง “อำนาจแบบทหาร” กับ “มาตรฐานความยุติธรรมแบบพลเรือน”

การ “ปฏิรูป” ศาลทหาร ไม่ได้เป็นการ “ลดทอน” ภารกิจป้องกันประเทศแต่อย่างใด? หากแต่เป็นการทำให้…บทบาทของทหาร “ชัดเจน” และ “รับผิดชอบต่อกฎหมาย” เช่นเดียวกับประชาชนทุกคน

ในระยะยาว! การแยกบทบาทนี้ต่างหาก ที่จะช่วยเสริมสร้างให้ กองทัพ เข้มแข็ง มีวินัย และได้รับความไว้วางใจจากประชาชน

นั่นเพราะ…ไม่มีประเทศใด? ที่ความมั่นคงเข้มแข็ง! ได้ด้วยโครงสร้างที่ไม่สามารถตรวจสอบได้…!!!

วันที่ 2 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ซึ่ง กรรมาธิการฯชุดนี้ จะลงมติในประเด็นที่ยังค้างอยู่ จะเป็นอีกวัน…ที่สังคมไทยจะต้อง “จับตา” อย่างมากว่า….

ที่สุดแล้ว… สภาฯจะเลือกยืนอยู่ใน “หลักการ” ปฏิรูปความยุติธรรมเชิงสถาบัน หรือจะ “รักษา” รูปแบบเดิม! ที่ถูกวิพากษ์มายาวนาน

หากท้ายที่สุด! สภาฯเลือกแยก “หน้าที่ปกป้องชาติ” ออกจาก “การละเมิดกฎหมาย” อย่างชัดเจน ก็ไม่เพียงจะ “ตอบโจทย์” ความยุติธรรมของเหยื่อจากเหตุการณ์ในอดีต เท่านั้น

แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของการทำให้…สถาบันทหาร เป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ และสร้างความมั่นคงของชาติในรูปแบบที่ยืนยาวกว่าเสียงปืนหรือความนิยมชั่วคราว

ทว่า…หากการกระทำของเสียงส่วนใหญ่ในชั้นกรรมาธิการฯ…เกิดขึ้นตรงกันข้าม! แน่นอนว่า…ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ย่อมต้องอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามด้วยเช่นกัน!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password