สายน้ำ…การเมือง!!!

สายน้ำป่าและสายน้ำการเมือง เดินคู่ขนานกันไป ช่างท้าทายศักยภาพของ “นายกฯอนุทิน” ยิ่งนัก! ตัวเขาจะบริหารจัดการ 2 สายน้ำนี้อย่างไร? จึงไม่กระทบผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง น้ำป่า…สักวันก็จางหาย ปรับแก้ไขกันได้ แต่กับสายการเมือง ทึ่ทุกสายไหลรวมเข้าหาและวิ่งลงอ่าวภูมิใจไทย สิ่งนี้…จะก่อปฏิกริยาในทางการเมืองรุนแรงและยาวนานแค่ไหนกัน?
ภาพน้ำป่าไหลทะลัก ถล่ม! บ้านเรือนประชาชนและอาคารสิ่งปลูกสร้างทางธุรกิจ ช่างน่าสังเวชใจยิ่งนัก
ปัญหานี้…เกิดขึ้นมายาวนานต่อเนื่อง เมื่อหลายสิบปีก่อนก็เป็น ปีนี้…ก็ยังเป็นเช่นนี้ และในปีหน้า รวมถึงปีต่อๆ ไป เชื่อว่า…มันก็คงจะเป็นเช่นนี้
หากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่คิดจะแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและมีแผนยุทธศาสตร์ที่เด่นชัด!!!
น้ำป่ารอบนี้…ได้สร้างทั้ง ความเสียหายและความกังวลให้กับประชาชน ใน 8-10 จังหวัดภาคใต้ ที่ต้องเผชิญกับฝนหนัก และน้ำหลากอย่างไม่ทันตั้งตัว ปริมาณน้ำฝนบางจุดสูงกว่า 400 มิลลิเมตรในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ทำให้ หลายอำเภอถูกตัดขาด, ถนนสายหลักถูกปิด, พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ…เริ่มได้รับผลกระทบอย่างเป็นลูกโซ่!!!
ปัญหาน้ำล้นตลิ่ง, น้ำป่าไหลหลาก และการระบายที่ไม่ทันการณ์ กลายเป็น ภาพสะท้อนความจริง ที่ว่า…ธรรมชาติยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการทดสอบความพร้อมของระบบรัฐไทยเสมอ
แต่ในจังหวะเดียวกับที่ “สายน้ำ” ในธรรมชาติ…กำลังพัดพาความเสียหาย ชะล้างพื้นที่…ต้นน้ำลงสู่ปลายน้ำ นั้น ยังมี…อีกสายน้ำ? ที่กำลังเคลื่อนไหวในแบบเดียวกัน แต่อยู่บนสนามการเมืองไทย???
ต่างกันเพียงแค่…สายน้ำสายนี้ ไม่ใช่…น้ำฝนจากฟากฟ้า หากเป็น “สายน้ำของกลุ่มอำนาจ” ที่กำลังไหลเข้าหา “จุดศูนย์กลางใหม่” ของสมการการเมืองไทยอย่างเป็นรูปธรรม
และกำลังสร้าง…การเปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองครั้งสำคัญ! อย่างเงียบเชียบ แต่ทรงพลัง! ไม่ต่างจาก “พายุลูกใหญ่” ที่ปะทุขึ้นกลางทะเล!!!
จังหวะของทั้ง 2 สายน้ำ…น้ำจริงและน้ำการเมือง!!! จึงดูราวกับกำลังเดิน “บน” เส้นทางคู่ขนาน
ขณะที่ “น้ำป่า” กำลังทดสอบศักยภาพการบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐบาล แต่กับ “สายน้ำการเมือง” ก็กำลังทดสอบเสถียรภาพทางอำนาจของรัฐบาลชุดเดียวกัน ในเวลาไล่เลี่ยกัน
และท่ามกลางแรงดันทั้ง 2 ด้าน จุดสนใจ…กลับมาบรรจบอยู่ที่…พรรคการเมืองพรรคเดียว นั่นคือ…พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะ “หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย”
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา…การเคลื่อนย้ายของ “บ้านใหญ่ – กลุ่มอำนาจภูมิภาค” สู่พรรคภูมิใจไทย เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหนักแน่นราวกับสายน้ำ…ที่ไหลลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก
เริ่มจาก…นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา พร้อม ส.ส. กลุ่มหนึ่ง ที่ประกาศตัวชัดเจนว่า…พร้อมมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย
ก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวในทำนองเดียวกัน แต่มาจากฝั่งตะวันออก เมื่อบ้านใหญ่เมืองชลบุรี นำโดย นายสนธยา คุณปลื้ม ปรากฏตัวรายงานตัวต่อพรรคภูมิใจไทย และได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการ ตามมาด้วย การเคลื่อนไหวจากจังหวัดใกล้เคียงอย่างจังหวัดระยอง ที่ส่งสัญญาณว่า…หลังจากนี้ พวกเขาอาจตามเข้าสังกัดเดียวกัน
และยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เมื่อจู่ๆ ภาพของ “2 ส.ส.หญิง” จากพรรคเพื่อไทย…น.ส.สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ และ น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร ปรากฏตัวที่หน้าพรรคภูมิใจไทย
กลายเป็นสัญญาณ “ข้ามฟาก” ที่สะเทือนถึงใจกลางของพรรคเพื่อไทย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง!
การปรากฏตัวเช่นนี้ ในจังหวะที่…พรรคเพื่อไทย ยังเผชิญแรงสั่นจากภายใน ทำให้ข่าวย้ายพรรค…กลายเป็นมากกว่าข่าวการเคลื่อนตัวปกติของ ส.ส.
หากเป็นการส่งสัญญาณว่า…“สายน้ำการเมือง” กำลังไหลแรงขึ้นเรื่อยๆ และพุ่งไปในทิศทางเดียวกัน!!??
ทั้งหมดนี้…เกิดขึ้นก่อนกำหนด วันที่ 12 ธันวาคม ซึ่ง “ทีมโฆษก” พรรคภูมิใจไทย ระบุว่า…ให้จับตาถ้อยแถลงของ นายกฯอนุทินว่า…จะประกาศ “ยุบสภา” ก่อนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่?
ด้วยความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นแบบประจวบเหมาะ หลายฝ่ายเริ่มมองว่า…เส้นทางการเมือง อาจกำลังถูกจัด “กระบวนทัพใหม่” เพื่อเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!!!
ไม่ว่าจะในรูปของการเลือกตั้งใหม่ หรือเกมการต่อรองอำนาจในรัฐสภาที่กำลังถูกปรับสมดุล
การไหลรวมของบ้านใหญ่..ระดับประเทศ เช่นนี้ สะท้อนภาพชัดเจนว่า…พรรคภูมิใจไทยกำลังขยับจาก “พรรคตัวแปร” สู่ “พรรคศูนย์กลางพลังงานทางการเมือง” ที่เปิดรับทั้งฐานเสียงท้องถิ่น, กลุ่มผู้มีอิทธิพลทางภูมิภาค และ ส.ส. จากพรรคคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเป็น…ยุทธศาสตร์ที่พรรคนี้ใช้มานาน แต่ครั้งนี้…กำลังเกิดขึ้นในสเกลที่ใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
จุดน่าสนใจอยู่ที่ว่า…การเคลื่อนตัวของสายน้ำการเมืองนี้ ไม่ได้เป็นการไหลแบบไร้ทิศทาง หากเป็นการไหลเข้าหาพรรคที่กำลังเป็นรัฐบาล และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็น “ศูนย์กลางอำนาจ” หลังการเลือกตั้งครั้งถัดไป
เสมือนการที่…สายน้ำทุกสาย มักไหลลงสู่ทะเลตามธรรมชาติ แต่ใน…สนามการเมือง น้ำเหล่านั้น…กำลังไหลเข้าสู่ “อ่าวภูมิใจไทย” ซึ่งกำลังขยายอาณาบริเวณอย่างไม่หยุดยั้ง
เมื่อพิจารณา เชิงยุทธศาสตร์…การย้ายเข้าของบ้านใหญ่ เช่น ชลบุรี–ระยอง–สุพรรณ และการแตกตัวของ ส.ส. จากพรรคใหญ่ในสภา อาจสะท้อน “ยุทธวิธี” ของพรรคภูมิใจไทย…ที่ต้องการสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางอำนาจ” ก่อนเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ! ของการเมืองไทย
ไม่ว่าจะเป็น…การยุบสภา, การอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือการจัดเรียงพลังทางการเมืองชุดใหม่อีกครั้ง ในแบบที่ “นักการเมืองอาวุโส” มักเรียกว่า…
“จัดระเบียบแผ่นดินการเมืองใหม่”
สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ จึงอาจกลายเป็น “บททดสอบคู่ขนาน” เพราะวิกฤติใหญ่เช่นนี้…มักเป็นเวทีที่ประชาชนจะได้ใช้เพื่อการตัดสิน “ศักยภาพ” ของรัฐบาล
หากรัฐบาลบริหารจัดการน้ำพิบัติ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ภาพลักษณ์” ของรัฐบาล อาจถูก “ยกระดับ” และช่วยเสริมความชอบธรรมของเกมการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่
แต่หากล้มเหลว!!! ผลสะท้อนอาจกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้ “สายน้ำการเมือง” เปลี่ยนทิศทางได้เช่นกัน
ท้ายที่สุด! เมื่อสายน้ำจริงกำลังเพิ่มระดับ และสายน้ำการเมืองกำลังไหลแรงขึ้นทุกขณะ! ประเทศไทยก็กำลังเดินเข้าสู่ “จุดตัด” สำคัญของทั้ง 2 กระแส! อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
สายน้ำที่ไหลถล่มเมืองใต้…อาจเป็นเพียง “บทนำ” ของปรากฏการณ์ที่ใหญ่กว่า??? นั่นคือ…การ “ปรับทิศ” ของสายน้ำทางอำนาจ ซึ่งกำลังพุ่งเข้าหา “ศูนย์กลางใหม่” อย่างชัดเจน!
และหาก…ทุกสายน้ำ ยังคงไหลไปในทิศเดียวกัน ไม่แน่ว่า…ภูมิทัศน์การเมืองไทย อาจถูกชะล้าง, เปลี่ยนรูป และจัดวางใหม่ทั้งหมด ในเวลาไม่นานนับจากนี้ไป…ได้เช่นกัน!!!.






