ท่องเที่ยว : เกมทูต การเมือง สัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ความสัมพันธ์ “ไทย–จีน” ถูกยกระดับ! สู่ มิติ…ยุทธศาสตร์ หลังการเสด็จฯ เยือนจีน “เปิดทาง” ให้รัฐบาลไทยเร่งดึงเม็ดเงินท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนเข้าระบบเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน? ชาร์เตอร์ไฟลต์ 1,000 เที่ยวจากเมืองรองจีน สะท้อน “ทิศทางใหม่” ที่ไทยใช้จีนเป็น “หัวรถจักร” ฟื้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว แต่ต้องทำควบคู่กับการจัดการทุนจีนเทา เพื่อรักษาความมั่นคงและความเชื่อมั่นสาธารณะ และไม่ละเลยนักท่องเที่ยวตะวันตก!!!
รัฐบาลไทย…เดินเกมการทูตในช่วงปลายปี 2568 นี้ ถือเป็น…ปรากฏการณ์ที่สะท้อนทั้งการวางหมากทางยุทธศาสตร์และการจัดลำดับความสำคัญด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจนกว่าทศวรรษก่อนหน้านี้
การเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ฉลองวาระ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ไม่เพียงสร้าง “สัญลักษณ์” ในทางการเมืองระดับสูง!
แต่ยัง “เปิดพื้นที่” ให้รัฐบาลไทยใช้ความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นตัวเร่งเชิงเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะใน ภาคการท่องเที่ยวที่ถูกกำหนดให้เป็นกลไกอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างฉับพลัน?
ฝ่ายไทยเริ่ม “เดินหมาก” อย่างชัดเจน! ผ่านโครงการ Thailand Summer Blast และ การดึงเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากเมืองรองจีนกว่า 1,000 เที่ยว ซึ่งถือเป็น “มาตรการใหญ่ที่สุด!” ในรอบหลายปี
การเลือกเจาะตลาด “เมืองรองจีน” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ? หากแต่เป็นการ “ประเมิน” เชิงยุทธศาสตร์ แล้วว่า…กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนระดับกลาง–ล่าง จากเมืองรอง คือ กลุ่มที่ให้ปริมาณสูง เดินทางถี่ และฟื้นกลับเร็วที่สุด! หลังเกิดวิกฤตโควิด-19
การพาเครื่องบินกว่า 1,000 เที่ยวเข้ามายังไทยในช่วง 4-6 เดือน สะท้อนว่า…รัฐบาลต้องการให้จีนเป็น “หัวรถจักรหลัก” ในการเร่งอัดเงินเข้าสู่ระบบบริการของโรงแรม, ร้านค้า และเมืองท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่! ในช่วงต้นปี
ในอีกมิติหนึ่ง! การเปิดความร่วมมือหลังเสด็จฯ ทำให้ท่องเที่ยวเป็นเพียงหนึ่งในประตูที่…จีนและไทย ใช้เชื่อมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนอย่างลึกซึ้งขึ้น!
ปรากฏการณ์ที่ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กราบบังคมทูลว่า…จีนพร้อมซื้อข้าวไทยเพิ่มเติมอีก 500,000 ตัน เป็นตัวสะท้อนถึงการขยายวงความร่วมมือที่ “พ้นระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล” ไปสู่ระดับที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ต่อพลวัตอำนาจในภูมิภาค
การสื่อสารจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ที่ระบุว่า…เป็นผลจาก “พระบรมเดชานุภาพ” ก่อนจะชี้ชัดว่า…รัฐบาลกำลังใช้ “ทุนทางการทูต” ที่ผสมระหว่าง…สัญลักษณ์ และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เพื่อขยายความสัมพันธ์กับจีนในหลายมิติพร้อมกัน
แต่การใช้จีน…เป็น “เครื่องยนต์หลัก” ย่อมมาพร้อมความเสี่ยง!!! โดยเฉพาะ ความกังวลในสังคมไทย ที่ว่า…การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมหาศาล อาจเป็นประตู…สู่การ “ขยายตัว” ของทุนจีนเทา, นอมินี และธุรกิจที่ครอบงำตลาดท่องเที่ยวท้องถิ่น???
รัฐบาลไทย…จึงต้องเดินเกม “คู่ขนาน!” นั่นคือ…การประกาศปราบทัวร์ราคาทิ้งตลาด, การจัดการบริษัทนอมินีในธุรกิจท่องเที่ยว ร้านค้า และยานพาหนะ
รวมถึง…คำสั่งสอบสวนข้าราชการท้องถิ่น ที่เอื้อประโยชน์ให้ “เครือข่ายทุน” จากต่างประเทศ
นี่ไม่ใช่เพียง…การบังคับใช้กฎหมายธรรมดา แต่เป็นการ “ส่งสัญญาณ” ทางการเมือง ว่า…รัฐบาลไทยต้องการจะ “รักษาสมดุล” ระหว่าง…การดึงเม็ดเงินจีนแ ละการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
ตลาดท่องเที่ยวไทย…ในมิติสากล? มีความละเอียดอ่อนกว่าที่เห็นในเชิงของตัวเลขรายได้ เพราะตลาดจีนและตะวันตก…ไม่ใช่ตลาดที่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน
การกลับมาของ…นักท่องเที่ยวจีน ยังไม่เต็มที่มากนัก เมื่อเทียบกับก่อนวิกฤตโควิด-19 ในขณะที่…นักท่องเที่ยวจากยุโรป, อเมริกา และโอเชียเนีย กำลังเป็น “แรงขับสำคัญ!” ที่ประคองภาพรวมตลาดต่างชาติ…ในช่วงที่จีนยังฟื้นตัวไม่เสร็จ
ความจริงข้อนี้…ทำให้รัฐบาลไม่สามารถ “ทุ่มน้ำหนัก” ไปที่จีน…เพียงประเทศเดียวได้!!!
เพราะนั่น…อาจเสี่ยงต่อการสูญเสีย “ฐานตลาด” ระดับพรีเมียม! จากชาติตะวันตก ซึ่งมีอัตราใช้จ่ายสูงกว่า, เดินทางและใช้ชีวิตท่องเที่ยวในไทยยาวนานมากกว่า
ในทางปฏิบัติ! นโยบายที่เน้นจีนอย่างเข้มข้น! เช่น การส่งเสริมชาร์เตอร์ไฟลต์ 1,000 เที่ยว จึงถูก “ประกบ” ด้วยโครงการที่วางตำแหน่งท่องเที่ยวไทยให้เป็น “Global Destination” มากกว่าเป็น “China-centric Destination”
อีเวนต์ระดับนานาชาติ เช่น มาราธอนกรุงเทพฯ, งานวิจิตรเจ้าพระยา, เทศกาล Countdown ระดับโลก รวมถึงการกระจายกิจกรรมไปยัง “เมืองรอง” ทั่วประเทศ
ล้วนถูก “ออกแบบ” ให้ตอบโจทย์! ทั้ง…นักท่องเที่ยวจีน, กลุ่มตลาดระยะใกล้ และกลุ่มตลาดตะวันตก ที่ต้องการประสบการณ์คุณภาพ
อีกทั้ง ยังช่วย “ลดความเสี่ยง!” จากการพึ่งพาตลาดเดียว ซึ่งอาจกลายเป็น “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ในอนาคตได้
ความสัมพันธ์ไทย–จีนในช่วงปี 2568 จึงเป็นมากกว่า…“การแลกเปลี่ยน!” นักท่องเที่ยว หรือการค้า หากแต่เป็นการ “ปรับทิศทาง” ยุทธศาสตร์ของไทย ท่ามกลาง “ภูมิรัฐศาสตร์” ที่ซับซ้อน
ทั้งนี้ ถือว่า…ไทยอยู่ใน “จุด” ที่ต้องใช้จีน เป็น “แหล่งรายได้เร่งด่วน”
ขณะเดียวกัน ก็ต้องระวัง…ไม่ให้ภาพลักษณ์ “เอียงจีน” เกินไป จนกระทบความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และยุโรป
โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ สหรัฐฯ ใช้ประเด็นการค้าและความมั่นคงชายแดน เป็น “เครื่องกดดัน” ทางการทูต
ดังนั้น ไทยจึงต้องใช้…เครื่องมือเศรษฐกิจ, การท่องเที่ยว และการทูต “เชิงสัญลักษณ์” ในการถ่วงดุลความสัมพันธ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด!!!
ท้ายที่สุด! บทบาทของจีนที่จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจของไทย จะดำเนินต่อไป…ในแบบที่รัฐไทยต้อง “รับให้ได้ และจัดให้เป็น”
รัฐบาลไทย…จำเป็นต้อง “เดินเกมคู่ขนาน” ระหว่าง…การดึงเม็ดเงินจากจีน, การควบคุมทุนเทา, การรักษาส่วนแบ่งตลาดตะวันตก และการรักษา “ดุลภาพ” ทางการทูตระหว่าง 2 ขั้วมหาอำนาจ
หากไทยสามารถจัดการ “สมการ” นี้ได้…ความสัมพันธ์ไทย–จีนชุดใหม่ จะกลายเป็น “จุดแข็ง!” ของไทย
แต่หาก…ผิดพลาด! เพียงด้านเดียว? โครงสร้างเศรษฐกิจ และ “ดุลยภาพ” ภูมิรัฐศาสตร์ของไทย…อาจเปลี่ยนไปอย่างถาวร!!??
นาทีนี้…ประเด็นปัญหาและโอกาสข้างต้น! อาจใช้วัดใจและวัดกึ๋น “รัฐบาลไทยอายุ 4 เดือน” ภายใต้การนำของ นายกฯอนุทิน ได้เป็นอย่างดี!!!.






