น้ำตา ‘ตีคู่’ ลงมือทำจริง!

น้ำตาของ “นายกฯอนุทิน” ที่หลั่งกลางห้องไอซียู ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ ไม่ควรถูกจดจำเพียงเป็น “ภาพสะเทือนใจ” ของผู้นำประเทศ หากแต่ควรเป็น “จุดเริ่มต้น!” ของการลงมือทำจริง เดินหน้าเยียวยา “ผู้เสียสละ” ปรับสมดุลความมั่นคง สร้าง “ศรัทธาใหม่” ให้รัฐบาลในสายตาคนไทย
ภาพที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย “น้ำตาคลอ” ระหว่างเยี่ยม…ทหารบาดเจ็บ จากเหตุระเบิดชายแดนไทย–กัมพูชา ที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
กลายเป็น “สัญลักษณ์ใหม่” ทางการเมืองในเวลาเพียงข้ามคืน…???
ภาพ “นายกฯ ผู้มีหัวใจ” ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกออนไลน์ พร้อมกระแสชื่นชม และคำถามใหญ่? ที่ดังขึ้นในเวลาเดียวกัน ว่า…
น้ำตาที่หลั่งไปนี้…สุดท้าย มันจะนำไปสู่อะไร? ต่อจากนั้น!!!
แม้สิ่งนี้ จะพิสูจน์ทราบได้ว่า “เป็นภาพจริง” มิใช่ บทเสแสร้ง “บีบน้ำตาการเมือง” แต่อย่างใด?
หลายครั้งที่ นายอนุทิน ก่อนหน้าจะทำหน้าที่ “ผู้นำประเทศ” เขาก็เคยแสดงออกถึงอารมณ์จริง ในสถานการณ์ต่างๆ…
โกรธ, หัวเราะ, ซึม, นิ่งเฉย สารพัด…ขึ้นกับอารมณ์ความรู้สึกในสถานการณ์ ณ ขณะนั้น
ดังนี้ “น้ำตาของนายกฯ” เมื่อเย็นวานนี้ (11 พ.ย.) จึงสะท้อนอารมณ์ความรู้สึก…ที่เป็นจริง!!! กับภาพของน้องๆ ทหารหาญ ที่สู้ปกป้องอธิปไตยไทย ปรากฏอยู่ตรงหน้า
แม้อารมณ์ความรู้สึก…จะสร้าง “แรงกระเพื่อม” ได้ทันที! แต่ในทางการเมืองแล้ว สังคมไทย…ต้องการสิ่งที่ยั่งยืนได้มากกว่านั้น?
น้ำตาเพียงหยดเดียว! สามารถ “เปลี่ยน” เส้นทางของการสื่อสารทางอำนาจได้อย่างมีพลัง หากมันถูกนำไปสู่ “การลงมือทำจริง!” ของรัฐบาล และของ “ผู้นำสูงสุด” ในฐานะ “ผู้รับผิดชอบ” ต่อชีวิตของใต้บังคับบัญชา และต่อศรัทธาของประชาชนทั้งประเทศ
ในสังคมการเมืองไทย อารมณ์…มักทำหน้าที่เป็น “พลัง” แห่งความเชื่อมั่น! มากกว่า…ตัวเลขทางเศรษฐกิจ หรือถ้อยคำแถลงการณ์ใดๆ
ภาพ “นายกฯอนุทิน” ที่แสดงออกถึงอาการ “สะเทือนใจ!” ต่อ…ทหารผู้เสียสละ จากเหตุปะทะชายแดน จึงไม่ใช่แค่…การแสดงออกทางอารมณ์
แต่มันคือ…การส่งสัญญาณเชิงจิตวิทยา ว่า “รัฐบาลเห็น และรู้สึก” กับความสูญเสีย ในครั้งนี้
น้ำตา…กลายเป็น “ทุนทางอารมณ์” ที่ช่วยเชื่อมประสาน “รัฐกับประชาชน” ในเวลาที่ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล…เริ่มสั่นคลอนจากปัญหาใดๆ ก็ตาม
ไม่จะเป็นเรื่องของการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ แม้กระทั่ง เสียงวิจารณ์ต่อการจัดการความมั่นคง!!!
แต่…ทุนทางอารมณ์ ก็จะคงอยู่ได้ไม่นาน??? หากไม่ถูก “แปลง” ให้เป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง!
ประชาชน…อาจสัมผัสและรับรู้ ถึงขั้น…ซาบซึ้ง ไปกับ “น้ำตาของนายกฯ” ได้ชั่วครู่ แต่จะจดจำการกระทำที่จะมีตามมาไปอีกนาน
“ผู้นำ” ที่ร้องไห้…แล้วลงมือทำ!!! จะสร้างพลังศรัทธาต่อผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชนอย่างที่สุด!
ขณะที่ “ผู้นำ” ที่ร้องไห้…แล้วนิ่งเฉย??? จะเหลือเพียงภาพที่จางหายไปในความทรงจำของสังคม…
“น้ำตาของนายกฯ” ครั้งนี้ จึงเป็นทั้ง…ความจริงทางอารมณ์ และโอกาสทางยุทธศาสตร์
“นายกฯอนุทิน” ได้แสดงให้เห็นถึง…สัญชาตญาณของ “ผู้นำ” แบบ…มนุษย์นิยม เป็น “ผู้นำ” ที่ไม่ปิดกั้นอารมณ์ แต่ใช้มันเป็น…เครื่องมือสื่อสารความเป็นมนุษย์กับสังคม
อย่างไรก็ตาม พลังของอารมณ์จะมีค่า ต่อเมื่อได้รับการ “ต่อยอด” เป็นนโยบาย…ที่จับต้องได้
ดังนั้น จากสถานการณ์นี้ รัฐบาล ภายใต้การนำของ นายกฯอนุทิน จึงควรเร่งเปลี่ยน “ภาพสะเทือนใจ” ให้เป็น “ยุทธศาสตร์แห่งการเยียวยา” โดยเริ่มจากสิ่งที่ประชาชนเห็นผลได้จริง…
การเยียวยาทหารและครอบครัวผู้บาดเจ็บ…ต้องดำเนินอย่างโปร่งใส รวดเร็ว และตรงเป้า
ไม่ปล่อยให้ “กลไกราชการ” ถ่วงเวลา
รัฐบาล…ต้องกล้าที่จะ “ออกคำสั่งพิเศษ!” เพื่อทำให้ ความเห็นใจ…กลายเป็น “ผลลัพธ์” ของความรับผิดชอบ
จากนั้น…ควร “ยกระดับ” การจัดการปัญหาทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ให้เป็นวาระแห่งชาติ
โดยประสานความร่วมมือกับกัมพูชาในรูปแบบ “รัฐต่อรัฐ” เพื่อลดความเสี่ยงซ้ำซ้อน! และสร้างเขตปลอดภัยถาวรให้ทั้งทหารและพลเรือน
ขณะเดียวกัน รัฐบาลฯจำเป็นจะต้องเร่งจัดตั้ง “ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพและสวัสดิการถาวร” สำหรับกำลังพลที่บาดเจ็บหรือพิการจากการปฏิบัติราชการ เพื่อให้ “ผู้เสียสละ” ได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีและความภาคภูมิใจในฐานะ “ผู้ปกป้องชาติ”
สิ่งเหล่านี้…ไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือเฉพาะหน้า แต่คือ…การลงทุนทางศักดิ์ศรี ที่จะสะท้อนกลับมาเป็นความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐในระยะยาว…
หาก “รัฐบาลอนุทิน” สามารถขับเคลื่อนมาตรการเหล่านี้ ได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว “น้ำตาของนายกฯ” จะไม่ใช่เพียง…เหตุการณ์ข่าว แต่จะกลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของวาระแห่งการเปลี่ยนแปลง
“ผู้นำที่ร้องไห้” เพราะเห็นความทุกข์ของผู้อื่น ควรเป็น “ผู้นำ” ที่กล้าตัดสินใจและลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจัง!
เมื่ออารมณ์และการกระทำเดินไปพร้อมกัน สังคมไทย…จะมองเห็นภาพของความเป็น “ผู้นำที่แท้จริง!”
ไม่ใช่เพียง…ภาพจำในข่าววันนั้น
“รัฐบาลอนุทิน” ควรสร้าง…กลไกเยียวยาแบบเบ็ดเสร็จ ตั้ง “กองทุนถาวร” สำหรับกำลังพลผู้พิการ และ จัดระบบตรวจสอบที่เปิดเผย เพื่อสร้างความไว้วางใจในทุกระดับ พร้อมกันนั้น ก็ควรรายงานผลความคืบหน้าเหล่านี้ต่ อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ
แสดงให้เห็นว่า…ความเห็นใจ! ไม่ได้จบที่น้ำตา? แต่ดำเนินต่อในรูปของ…ความรับผิดชอบที่แท้จริง!!!
สุดท้ายแล้ว…น้ำตาของผู้นำ ไม่ควรถูกจดจำว่า…เป็นเพียงการแสดงอารมณ์ แต่ควรถูกจำว่าเป็นคำมั่นสัญญา ว่า…ความเจ็บปวดของผู้เสียสละจะไม่สูญเปล่า
หาก “รัฐบาลอนุทิน” สามารถแปลงอารมณ์แห่งความเห็นใจ ให้กลายเป็น “นโยบายที่จับต้องได้” ภาพนายกฯน้ำตาคลอ ในห้องไอซียูวันนั้น จะไม่ใช่เพียงแค่ข่าวที่สร้างความสะเทือนใจ…
แต่จะกลายเป็น “ภาพประวัติศาสตร์” ของ “ผู้นำ” ที่กล้าลงมือทำจริง เพื่อปกป้อง…เชิดชูเกียรติของ “ผู้เสียสละ” เพื่อศรัทธาของประชาชน และเพื่อศักดิ์ศรีของชาติไทย!!!.






