หากต้องปล่อย 18 เชลยทหารเขมร???

กระแสข่าว “ปล่อยตัว 18 เชลยทหารกัมพูชา” เริ่มดังขึ้นตามลำดับ กระทรวงกลาโหมย้ำหนักแน่นว่า “ยังไม่ใช่เวลา” การปล่อยเชลย! จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ “เพื่อนบ้าน” ทำตามเงื่อนไขสำคัญ 2 ใน 4 ข้อที่โดยเฉพาะ “ถอนอาวุธหนัก – เก็บกู้ทุ่นระเบิด” แต่เบื้องหลัง…กลับซ่อนความซับซ้อนของปมการเมือง ความมั่นคง และอารมณ์ระหว่างประเทศ ที่อาจชี้ชะตาความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในอนาคตอันใกล้
ความเคลื่อนไหวในท่ามกลางกระแสข่าว การปล่อยตัวเชลยทหารกัมพูชา 18 นาย ภายในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 เริ่มดังขึ้นตามลำดับ ล่าสุด! สถานการณ์จากฝั่ง “รัฐบาลไทย” เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (7 พฤศจิกายน) “บิ๊ก’เล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม เปิดเผยกับสื่อมวลชน ถึง “เงื่อนไขสำคัญ” ในการปล่อยตัวเชลยศึกฯ ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในฝั่งไทย โดยย้ำว่า…
การจะปล่อยตัวได้ต้อง “บรรลุข้อตกลง 2 ใน 4 ข้อก่อน” ประกอบด้วย…(1) การถอนอาวุธหนักในพื้นที่แนวชายแดน และ (2) การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่เสี่ยงภัย ตามที่…ฝ่ายไทยเสนอ 13 จุด และภายหลังเจรจาลดเหลือ 5 จุด ซึ่งทางกัมพูชา…เพิ่งตอบรับเมื่อปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา…
พล.อ.ณัฐพล อธิบายว่า ทั้ง 2 ประเด็นถือเป็น “สัญญาณรูปธรรม” ของความจริงใจจากกัมพูชา ที่ฝ่ายไทยต้องการเห็นก่อน ทั้งนี้ การจะดำเนินการขั้นต่อไปในการปล่อยเชลย ฝั่งกัมพูชา จะต้องเร่งดำเนินการตามสัญญา โดยเฉพาะ การถอนอาวุธหนัก เช่น ปืนใหญ่ระยะไกล และ จรวดหลายลำกล้อง ที่ยังตั้งอยู่ใกล้แนวเขตบ้านหนองจาน และ บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว
“ถ้าวันที่ 12 อาวุธยังไม่ถอนไป หรือเข้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดไม่ได้ตามตกลง เราก็ไม่ปล่อย” รมว.กลาโหม กล่าว พร้อมย้ำว่า…ไทยยึดหลักมนุษยธรรม แต่จะไม่เร่งเร้าจนละเลยความมั่นคงของชาติ
ข่าวการปล่อยเชลยในวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ จึงอาจเป็น “การคาดเดาเกินจริง” จากฝั่งกัมพูชา ซึ่งระบุว่า…จะดำเนินการตามข้อตกลงให้เสร็จภายใน 10 – 12 พฤศจิกายน ขณะที่ ฝั่งไทยมองว่า เป็นเพียง “กำหนดคาดหมาย” ไม่ใช่วันที่แน่นอน หากกัมพูชายังไม่แสดงความคืบหน้าที่จับต้องได้ ก็ไม่สามารถนำเรื่องเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และ คณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) เพื่อพิจารณาเรื่องการปล่อยตัวได้
เบื้องหลังการเจรจา…เรื่องเชลยในครั้งนี้ เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการลงนามใน “ถ้อยแถลงร่วม” ระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย และ นายฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมี ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และ ดาโต๊ะ ซรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกฯของมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา
ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันแก้ปัญหา 4 ประเด็นหลัก คือ การถอนอาวุธ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบขบวนการสแกมเมอร์ และการบริหารจัดการชายแดน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทย มองว่า…ความร่วมมือของกัมพูชายังอยู่ในระดับ “คำมั่น” มากกว่า “การปฏิบัติจริง!!!”
ในส่วนของ นายกฯอนุทิน แม้จะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามสื่อ ขณะเดินทางกลับไปภารกิจต่างประเทศ (เยือนสิงคโปร์) แต่ก่อนหน้านี้ ได้ให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ว่า.. “ไทยจะดำเนินการตามหลักมนุษยธรรม และภายใต้กรอบข้อตกลงที่ได้ลงนามร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน”
ข้อความข้างต้น ได้สะท้อนแนวทาง “คงเส้นคงวา” ของรัฐบาลไทย นั่นคือ.. ไม่เร่งรัด แต่ไม่หยุดนิ่ง!!!
โดยมอบหมายให้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็น…ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วม หรือ คปถ. เพื่อติดตามงานอย่างใกล้ชิด…
ในเชิงยุทธศาสตร์ กองทัพไทย กำลังใช้ประเด็น “เชลย” เป็นกลไกทางการทูต เพื่อเร่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามสัญญา ใน 2 หัวข้อหลักที่ฝ่ายไทยเห็นว่า…เป็น “รากเหง้าความไม่มั่นคง” ของพื้นที่ชายแดน นั่นคือ อาวุธหนักและทุ่นระเบิด เพราะทั้ง 2 เรื่อง…มีผลต่อความปลอดภัยของประชาชนและการปักหมุดแนวเขตแดนถาวรในอนาคต
หากไม่ถอนอาวุธ หรือกู้ทุ่นระเบิด…การปักหมุดถาวรจะทำไม่ได้ ซึ่งหมายถึง…ปัญหาอธิปไตยจะยังคงคาราคาซังต่อไป
ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทย ก็พยายามควบคุมประเด็น “สแกมเมอร์” ในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งกัมพูชาเริ่มให้ความร่วมมือ ตั้งศูนย์ปราบสแกมเมอร์ และ ร่วมสืบสวนกรณีผู้เสียชีวิตที่เชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) รายงานว่า…การประสานงานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สิ่งเหล่านี้จึงถูกหยิบยกเป็น “ความคืบหน้าเชิงรูปธรรม” แต่ยังไม่ถึงระดับที่ไทยยอมรับได้เต็มที่
สำหรับประเด็น “ปราสาทตาควาย” และ “รั้วชายแดนใหม่” ที่กัมพูชาผลักดันเพิ่มเข้ามาในโต๊ะเจรจา นั้น พล.อ.ณัฐพล ระบุว่า…ต้องรอหลังจากปฏิบัติตามข้อตกลง 5 ข้อ เสร็จก่อนจึงจะคุยรายละเอียด โดยเตือนว่า…เรื่องนี้สะสมมานานกว่า 15 ปี นับตั้งแต่ความขัดแย้งบริเวณเขาพระวิหาร ในปี 2554 ดังนั้น การแก้ไขต้องใช้ความรอบคอบ
“อยากให้เข้าใจว่า ถ้าทำเร็วเกินไป จะไม่เรียบร้อย แต่ถ้าให้เวลานิดหนึ่ง จะยั่งยืนกว่า” รมว.กลาโหม ระบุ
นักวิชาการด้านความมั่นคง อย่าง…นายปณิธาน วัฒนายากร ให้ความเห็นว่า…การตั้งเงื่อนไขของไทยเป็นการ “วางหมากรอบคอบ” แต่ต้องระวังการตีความว่าใช้เชลยเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง
ขณะที่ นายภัทรพงศ์ แสงไกร นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศ เห็นว่า การไม่ปล่อยเชลยจนกว่าเงื่อนไขจะครบ เป็นการยืนบนหลักสิทธิมนุษยชนที่ถูกต้อง เพราะไทยไม่ได้ปฏิเสธการปล่อย แต่ขอให้เป็นไปตามกรอบที่พิสูจน์ได้
ทั้ง 2 เสียงจาก “นักวิชาการชั้นนำ” ของไทย ได้สะท้อนประเด็นเดียวกัน นั่นคือ…รัฐบาลไทยกำลังเล่นเกมละเอียด ระหว่าง “มนุษยธรรม” กับ “อธิปไตย”.
ทว่า ฝ่ายวิจารณ์ กลับมองว่า…การสื่อสารของรัฐบาลยังไม่ชัดเจนพอ เมื่อสื่อบางแห่งในกัมพูชาระบุวันปล่อยเชลย ในขณะที่ ฝ่ายไทย ยังคงพูดถึง “เงื่อนไขที่ต้องตรวจสอบ” ทำให้ประชาชนทั้ง 2 ฝั่งเข้าใจไม่ตรงกัน และอาจกลายเป็นชนวนความไม่ไว้วางใจใหม่ โดยเฉพาะ ในยุคที่โซเชียลมีเดียสามารถขยายเสียงเพียงข่าวลือให้กลายเป็นกระแสได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง…
ถึงที่สุดแล้ว การปล่อยตัว 18 เชลยทหารกัมพูชา จึงไม่ได้เป็นเพียง “การคืนอิสรภาพ” ของบุคคลกลุ่มหนึ่ง แต่คือเครื่องชั่งระหว่าง “ศักดิ์ศรีชาติ” กับ “สันติภาพชายแดน” ที่ต้องเดินไปพร้อมกันอย่างระมัดระวัง
หากเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อ…การถอนอาวุธหนัก และการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เสร็จสมบูรณ์ภายในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ โอกาสปล่อยเชลย…ก็มีสูงมาก
แต่หากสถานการณ์…ยังไปไม่ถึงจุดนั้น รัฐบาลไทย…ย่อมต้องชั่งใจอีกครั้ง ระหว่าง…ความใจร้อนของสังคม กับความอดทนของรัฐที่ ต้องยึดหลัก “อธิปไตยก่อน มนุษยธรรมทีหลัง!”
เพราะใน เกมชายแดนที่ยังไม่จบ! นั้น “การปล่อยเชลย” ไม่ใช่เพียงการ “ปลดโซ่ตรวน” ของทหาร แต่คือ…บททดสอบ “วุฒิภาวะ” ของ 2 ประเทศ
ที่สุดแล้ว…รัฐบาลไหน? จะรักษาสัญญา และใคร? จะรักษาหน้า…ได้ดีกว่ากัน!!!.






