ประชามติ MOU!!??

กลศึกเกมการเมืองระหว่างประเทศ! ดัน…ประชามติ “เลิก-ไม่เลิก MOU ไทย – กัมพูชา” แทรกกลางการแถลงนโยบาย…รัฐบาลอนุทิน ที่พุ่งเป้าไปยัง “ปมเศรษฐกิจ” เป็นสำคัญ? หากสำเร็จ จะนับเป็นการปัก  “หมุดหมายใหม่” ของการเมืองไทย! แต่หากเกิดผลตรงกันข้าม เรื่องนี้ใหญ่เกินคาดแน่ๆ!!!

ดีเดย์แล้ว! 29-30 กันยายน 2568 “รัฐบาลอนุทิน” นัดหมาย…แถลงนโยบายต่อรัฐสภา!!! โดยวานนี้ (25 ก.ย.) “ทีมข่าวการเมือง – ยุทธศาสตร์ออนไลน์” เพิ่งจะเขียนข่าว “เศรษฐกิจนำ (การเมือง)” นั่นก็หมายความว่า…

หัวใจหลักของนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะพุ่งเป้าไปยังนโยบายเศรษฐกิจ เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ก็พร้อมจะวางฐานรากเศรษฐกิจในระยะยาว ดังคอนเซ็ปท์ที่ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯและรมว.คลัง บอกไว้…

กระตุ้นสั้น แต่คิดถึงผลในระยะยาว

แต่หลังจากการแสดงเจตจำนงของ นายกฯอนุทิน ที่ต้องการบรรจุ…นโยบายทำประชามติให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะ “เลิก” หรือ “ไม่เลิก” บันทึกความเข้าใจ (MOU) ไทย–กัมพูชา ทั้ง… MOU 43 (การจัดการเขตแดนทางบก) และ MOU 44 (การจัดการเขตแดนทางทะเล) ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมไทยมายาวนาน…

สังคมไทย…จึงต้องเพิ่มการ “โฟกัส” มายังเรื่องนี้ทันที!!!

ว่ากันว่า...นี่คือการสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่! ทั้งในเวทีการเมืองและการต่างประเทศ???   

เนื่องเพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะ เหตุปะทะและปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ที่ยังไม่ถูกกำหนดเส้นเขตแดนอย่างเป็นทางการ ทำให้ฝ่ายการเมืองต้องเร่งกำหนดท่าที

ขณะเดียวกัน แรงกดดันภายในประเทศ ทั้งจาก…กลุ่มการเมืองและภาคประชาชน ที่ต้องการเห็นรัฐบาลปกป้องอธิปไตยอย่างแข็งขัน

จึงทำให้ “ประชามติ” ถูกหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมสูงสุด!!!

MOU 43 ซึ่งลงนามเมื่อปี 2543 มีสาระสำคัญ เพื่อกำหนดกรอบการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา โดยอ้างอิงอนุสัญญาและแผนที่เก่า แต่ไม่ได้เป็นเอกสารที่กำหนดเส้นเขตแดนโดยตรง

ส่วน MOU 44 ลงนามปี 2544 เกี่ยวข้องกับการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลและไหล่ทวีป ซึ่งกำหนด กลไกความร่วมมือในการจัดการผลประโยชน์ โดยทั้ง 2 ฉบับ…ถูกฝ่ายการเมืองและนักวิชาการ จำนวนหนึ่งมองว่า…“จำกัดสิทธิไทย” และ “ควรถูกยกเลิก”

ขณะที่ ฝ่ายราชการ ยืนยันว่า…เป็นเพียง “กรอบการเจรจา” มิใช่! สนธิสัญญาผูกพันเด็ดขาด

ดังนั้น แผนการโยนให้ประชาชนตัดสินใจผ่านประชามติ แม้จะสะท้อน…ความตั้งใจสร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของ “รัฐบาลอนุทิน” แต่ก็เต็มไปด้วยคำถามและอุปสรรคมากมาย???

ทั้งในเชิง…กฎหมายระหว่างประเทศ กระบวนการภายในประเทศ และผลกระทบต่อเสถียรภาพชายแดน

หาก ผลประชามติออกมาให้ “เลิก MOU” ฝ่ายไทย…อาจต้องเผชิญ ความท้าทายทางการทูตจากกัมพูชา และ เสี่ยงต่อการถูกนำเรื่องเข้าสู่เวทีระหว่างประเทศ

อีกทั้ง…ยังจะต้อง “ออกแบบ” กลไกใหม่ทดแทนทันที ไม่เช่นนั้นจะเกิด “สุญญากาศ” ในการบริหารเขตแดนและพื้นที่ทับซ้อน!!!

ในด้าน ผลกระทบระยะสั้น หากมีการส่งสัญญาณยกเลิก โดยไม่เตรียมมาตรการรองรับ อาจทำให้สถานการณ์ชายแดนตึงเครียดยิ่งขึ้น ทั้งทางด้าน…การค้าชายแดน วิถีชีวิตประชาชน และความสัมพันธ์ระหว่างกองกำลัง 2 ประเทศ

ขณะเดียวกัน ฝ่ายกัมพูชาเอง ก็ออกมาโต้แย้งข้อกล่าวหาของไทย โดยชี้ว่า…หลายพื้นที่ยัง “ไม่ได้ถูกกำหนดเขตแดน” อย่างเป็นทางการ และมองว่า…ไทยกำลังใช้ประเด็น MOU เป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศ

ด้าน สื่อต่างประเทศ เช่น Reuters และ The Diplomat ต่างวิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกันว่า…แรงกดดันให้เลิก MOU สะท้อนปัญหาการเมืองภายในไทย มากกว่าความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์

ขณะที่ แม้การทำประชามติ…อาจสร้างฉันทามติใหม่ แต่หากขาดการสื่อสารที่ชัดเจนกับประชาชน ก็อาจจะก่อให้เกิดความสับสนและบั่นทอนความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีการเจรจาระหว่างประเทศ ได้

ในทางกลับกัน หากรัฐบาล…สามารถทำให้ประชามติกลายเป็น “จุดเริ่มต้นของการรีเซ็ต” และ ออกแบบคำถาม ผลลัพธ์ และแผนรองรับอย่างรอบคอบ ก็อาจเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสในการสร้างกรอบความร่วมมือใหม่ที่มีความโปร่งใสและสอดคล้องกับผลประโยชน์ชาติ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด! คือ…การสร้างสมดุลระหว่าง “ความต้องการทางการเมืองภายใน” และ “พันธกรณีทางการทูตภายนอก”

หาก “รัฐบาลอนุทิน” เดินเกมเร็ว…โดยไม่เตรียมฐานข้อมูลและแผนสำรองที่แข็งแรง การทำประชามติอาจกลายเป็นการเพิ่มแรงเสียดทานมากกว่าคลี่คลายปัญหา

แน่นอนว่า…หากงานนี้ “รัฐบาลอนุทิน” สามารถจะเดินเกมอย่างมีแผนยุทธศาสตร์ อาจสร้างทั้งความชอบธรรมภายในประเทศและความแข็งแกร่งต่อรองในเวทีระหว่างประเทศไปพร้อมกัน

ถึงบรรทัดนี้…นโยบายทำประชามติ ในเรื่อง MOU 43 และ  MOU 44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา ถือเป็นการ “เดิมพันครั้งสำคัญ” ที่ “รัฐบาลอนุทิน” เลือกให้ประชาชนเป็น….ผู้ชี้ชะตา!!!

ดังนั้น การตัดสินใจครั้งนี้ จึงไม่เพียงกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ชายแดนไทย–กัมพูชา แต่ยังสะท้อนถึงมาตรฐานการเมืองไทย ที่ได้ยกระดับการตัดสินใจด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ โดยดึงให้ประชาชนได้เข้ามามีสิทธิ์และมีเสียงโดยตรง

หากทำสำเร็จ สิ่งนี้…ย่อมจะเป็น “หมุดหมายใหม่” ของการเมืองไทย!

แต่หากเกิดความพลาด สิ่งนี้…ย่อมจะสร้างปัญหาและความไม่แน่นอนที่ใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ อย่างไม่ต้องสงสัย!!??.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password