มิสเตอร์แบก!!??

น่าสนใจว่า…สัดส่วนของ “เทคโนแครต” ที่มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับ “มุ้งและโควตาการเมือง” แต่จำต้องสวมบทบาทเป็น “มิสเตอร์แบก” ใน “ครม.อนุทิน” แบกรับความหวังในทางการเมืองและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้นๆ เสมือนเป็น “เสาหลัก” คอยช่วยค้ำจุนภาพลักษณ์ของรัฐบาลและความหวังของประชาชน ทว่าภาระที่หนักเกินตัวนี้!!! จะถูกจดบันทึกบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เอาไว้อย่างไร???
กับห้วงเวลาที่ การเมืองไทยกำลังเผชิญความผันผวนและความไม่แน่นอน!!! เช่นนี้ “รัฐบาลชุดใหม่” ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีลำดับที่ 32 กำลังกลายเป็น “จุดศูนย์กลาง” ของความสนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีทั้ง…นักการเมืองสายโควต้าพรรค และบุคคลภายนอก ที่ถูกเรียกว่า “เทคโนแครต” เข้ามาร่วมทีม
ก่อเกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น!…ทั้งเชิงบวกและลบ!!??
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุด! ก็คือ…การที่ “เทคโนแครต” เพียงไม่กี่คนในคณะรัฐมนตรีนี้ จึงกลายเป็นเสมือน “มิสเตอร์แบก” หรือ “นายแบก” ที่ต้องรับภาระแห่งความคาดหวังจำนวนมหาศาล ทั้งการประคองเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่น และพยุงภาพลักษณ์ของ “รัฐบาลอนุทิน” ให้ยืนอยู่ได้ในช่วงเวลาที่จำกัดเพียงไม่กี่เดือน
“นายกฯอนุทิน” เอง ที่พูดถึง ครม.ของเขาอย่างมั่นใจว่า…รายชื่อรัฐมนตรีที่คัดสรรนั้น “เรียบร้อยแล้ว” และผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกฤษฎีกาหรือสำนักงาน ป.ป.ช. โดยยืนยันว่า…ไม่มีปัญหาด้านคุณสมบัติใด ๆ
รายชื่อทั้งหมด สามารถนำขึ้น “ทูลเกล้าถวาย” ได้โดยไม่มีข้อกังขาใดๆ???
เขายังกล่าวต่อสาธารณชนและสื่อมวลชนอีกว่า…การเลือกบุคคลที่มีประสบการณ์ในภาคเศรษฐกิจ การคลัง การทูต และพลังงานเข้ามาร่วมรัฐบาล คือการ “Bring Confidence” หรือ สร้างความเชื่อมั่น ทั้งต่อนักลงทุนภายในและต่างประเทศ และต่อตลาดที่กำลังเผชิญภาวะไม่แน่นอน
นายกฯอนุทิน ย้ำด้วยว่า…ครม.ของเขาไม่ได้เลือกเพราะการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่เลือกเพราะต้องการบุคคลที่สามารถทำงานและส่งผลลัพธ์ได้ทันที!!!
กระนั้นเอง แม้จะมีถ้อยคำยืนยันความมั่นใจ แต่ นายอนุทิน ก็ยอมรับขีดจำกัดของรัฐบาลตนเอง???
ทั้งในแง่ของ…เวลาและเสียงสนับสนุนในสภาที่ไม่มากพอ ทำให้ ครม.ชุดนี้ จึงถูกมองว่าเป็น “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ที่มีเวลาสั้นๆ เพียง 4 เดือนก่อนจะต้องยุบสภาและเข้าสู่การเลือกตั้งใหม่
นั่นหมายความว่า…ทุกมาตรการ ทุกนโยบาย และทุกการขับเคลื่อนงาน จะต้องเร่งมือและรวมพลังเพื่อทำให้เห็นผลอย่างเร่งด่วนและจับต้องได้ เช่น…
โครงการ “คนละครึ่ง” ที่จะถูกฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในฐานะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
รวมถึง การเดินสาย…เจรจากับภาคเอกชน หอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง ค่าเงินบาท และอัตราดอกเบี้ย
ทั้งหมดนี้ คือ การแสดงให้เห็นว่า…รัฐบาลตั้งใจฟังเสียงผู้ประกอบการและประชาชนจริงๆ
แต่ในสายตาสาธารณชน “เทคโนแครต” ที่ถูกเชื้อเชิญเข้ามาไม่กี่คนนี้ กลับกลายเป็น “มิสเตอร์แบก” อย่างแท้จริง!!!
นั่นเพราะพวกเขา คือ ผู้ที่ถูกคาดหวังว่า…จะใช้ความรู้ ความสามารถ และเครือข่ายความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและภาพลักษณ์การเมือง
ในขณะที่ รัฐมนตรีที่มาจากโควตาพรรคและมุ้งการเมือง ยังคงถูกตั้งคำถามถึง คุณสมบัติและแรงจูงใจทางการเมือง มากมาย…
นักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปรียบเปรยว่า…“การวางเทคโนแครตเพียงไม่กี่คนในตำแหน่งหลักของเศรษฐกิจ ก็เหมือนการให้คนสองสามคนแบกเสาโบสถ์ทั้งหลัง”
คำเปรียบนี้สะท้อนความจริงว่า…ภาระที่คนเหล่านี้ต้องรับนั้น หนักหน่วงเกินกว่าจะรับได้เพียงลำพัง!!!
ฝ่ายค้านเอง โดยเฉพาะ พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ประกาศชัดว่า…จะขอ “จองกฐิน” อภิปรายรัฐมนตรีที่มีปัญหาคุณสมบัติหรือมีข้อครหาด้านคุณธรรม โดยไม่มีการละเว้น!!!
สิ่งนี้ทำให้ ภาพลักษณ์ของ ครม.อนุทิน ถูกกดดันจาก 2 ด้าน ด้านหนึ่ง คือ แรงกดดันจากประชาชน ที่ฝากความหวังไว้กับเทคโนแครต อีกด้านหนึ่ง คือ แรงกดดันจากฝ่ายค้านที่พร้อมจะตรวจสอบและซักฟอก
หากรัฐมนตรีเหล่านี้ แม้เพียงคนเดียวพลาด!!?? ก็อาจทำให้ความน่าเชื่อถือของทั้งคณะรัฐบาลสั่นคลอนลงไปพร้อมกัน
สื่อมวลชน…ทั้งไทยและต่างประเทศ ต่างพากัน “จับตา” รัฐบาลชุดนี้อย่างใกล้ชิด สื่อไทยบางสำนักวิเคราะห์ว่า…รัฐบาลนี้มีลักษณะเป็น “รัฐบาลประคอง” ที่อาจไม่สามารถสร้างผลงานยิ่งใหญ่ แต่ต้องพยายามไม่ให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจทรุดหนักลงไปมากกว่านี้
ขณะที่ สื่อต่างชาติ อย่าง Al Jazeera และ Reuters รายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า…การแต่งตั้ง รัฐมนตรีผู้เชี่ยวชาญ คือ ตัวชี้ว่ารัฐบาลอนุทินกำลังพยายามฟื้นความเชื่อมั่น แต่ก็ยังตั้งคำถามสำคัญว่า…ภายในเวลาเพียง 4 เดือน คณะรัฐมนตรีที่มีอายุสั้นเช่นนี้ จะสามารถทำให้ตลาดและประชาคมโลกเชื่อมั่นได้จริงหรือไม่???
บนโลกโซเชียล เสียงสะท้อนก็แบ่งออกเป็น 2 ทางชัดเจน บางคนโพสต์ข้อความ ให้กำลังใจรัฐมนตรีคนนอกโดยตรง เช่น “ฝากความหวังไว้ที่ท่านแล้ว”
ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยกลับประชดว่า “นายแบกคนเดียวก็ไม่ไหวหรอก แบกทั้งประเทศไม่ใช่เรื่องเล็ก”
ความเห็นเหล่านี้ สะท้อนทั้งความหวังและความสิ้นหวังของประชาชนไทยในเวลาเดียวกัน!!!
ความหวังว่า…“มืออาชีพ” จะเข้ามาแก้ไขปัญหาได้จริง
และความสิ้นหวังว่า…“ภาระหนักเกินไปสำหรับคนไม่กี่คนในระบบที่ถูกครอบงำด้วยโควต้าการเมือง”
ในมุมมองของ นักธุรกิจและภาคเอกชน หลายคน “มองบวก” กับการที่ “นายกฯอนุทิน” เปิดโอกาสให้ “รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ” ไปพบกับหอการค้าและสมาคมภาคธุรกิจ เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ แต่ก็ตั้งข้อกังขาว่า…
รัฐบาลที่มีเวลาจำกัดจะสามารถทำอะไรให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมทันหรือไม่???
หากเพียงแค่แสดงเจตนา แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ ความเชื่อมั่นที่สร้างขึ้น ก็อาจเป็นเพียงภาพชั่วคราว ไม่ต่างอะไรกับการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ!!!
ท้ายที่สุดแล้ว…คำถามสำคัญยังคงเหมือนเดิม กล่าวคือ บรรดา “มิสเตอร์แบก…จะเอาอยู่หรือไม่???”
เพราะในเวลานี้ ทั้ง “รัฐบาลอนุทิน” และคนไทย จำนวนไม่น้อย…ต่างฝากความหวังไว้กับ “เทคโนแครต” ไม่กี่คนในครม.ที่ต้องรับภาระหนักหน่วงเกินใครจะคาดคิด
“นายกฯอนุทิน” เอง ได้แสดงความมั่นใจและกล่าวย้ำถึงความหวังที่ว่า… ครม.นี้จะสามารถ “Bring Confidence” ให้กับสังคม
แต่ความจริง!…ในเชิงโครงสร้างการเมืองกลับเป็นอุปสรรคใหญ่??? หาก “เทคโนแครต” เหล่านี้สามารถสร้างผลงานชัดเจนในเวลาอันสั้น พวกเขาอาจจะกลายเป็น “เสาหลัก” ที่ช่วยค้ำจุนภาพลักษณ์รัฐบาลและความหวังของประชาชน
ในทางกลับกัน! หากไม่สามารถทำได้ทัน ความหวังที่ “แบก” ไว้ก็อาจถล่มลงมาได้เช่นกัน!!!
และนั่น อาจทำให้คำว่า “มิสเตอร์แบก” กลายเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งภาระที่หนักเกินตัว??? และหนักเกินกว่า…จะรับไหวในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย อีกครั้งหนึ่ง!!!.