ผุดกำแพง : เลิก MOU43-44

ท่าทีของรัฐบาลอนุทิน บนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับกัมพูชา จากแนวโน้มการเดินหน้าสร้างกำแพงกั้นพรมแดน 2 ประเทศ กับแนวคิดยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ที่สุด! ประเทศไทยและคนไทย จะได้หรือเสีย? ในสายตาของเวทีระดับนานาชาติ

ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นในปี 2568 กำลังกลายเป็นบททดสอบครั้งใหญ่!  ของรัฐบาล ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องเผชิญแรงกดดันทั้งจากสังคมไทย และจากประชาคมนานาชาติ

ในห้วงเวลาที่ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพิ่งผ่านพ้นการสู้รบ! จนมีผู้เสียชีวิตและผู้อพยพจำนวนมาก กลับมีเสียงเรียกร้องจาก…กลุ่มการเมืองและภาคประชาชนบางส่วน ดังสวนขึ้นมา

กดดันให้ รัฐบาล “ฉีก MOU 43 และ 44” พร้อมเดินหน้าสร้าง “กำแพงกั้นพรมแดน” อย่างชัดเจนและเด็ดขาด!

คำถามสำคัญคือ หาก “รัฐบาลอนุทิน” เดินตามแนวทางนี้จริง ประเทศไทยและคนไทยจะได้หรือเสีย? และจะถูกมองเช่นไรบนเวทีโลก?

MOU 43 ซึ่งลงนามในปี 2543 มีเป้าหมายในการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ส่วน MOU 44 เกี่ยวข้องกับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในไหล่ทวีปและพื้นที่ทางทะเล

เอกสารทั้งสองฉบับถูกมองว่า…เป็น เครื่องมือทางการทูต เพื่อป้องกันการเผชิญหน้าทางทหาร และเป็นกรอบที่คู่สัญญายอมรับร่วมกัน แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า เป็นฝ่ายไทยเท่านั้นที่ยึดถือและปฏิบัติตาม MOU 43 ขณะที่กัมพูชาไม่เคยปฏิบัติเลย

มิหนำซ้ำ ยังมีกรณีการละเมิดสิทธิและการรุกล้ำอธิปไตยของไทยในพื้นที่ทับซ้อนตลอดกว่า 20 ปี

ความจริงข้อนี้ได้กลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้กระแสสังคมในไทยรู้สึกว่า “ไทยเสียเปรียบ” และเป็นเหตุผลสำคัญที่หลายฝ่ายเชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องประกาศยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ เสียที

เสียงเรียกร้องดังกล่าวสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนผ่านการชุมนุมหน้ารัฐสภาในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รวมถึง คำปราศรัยของนักการเมือง ที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่า…รัฐบาลไทยไม่ควรเจรจากับกัมพูชาอีกต่อไป จนกว่าจะยกเลิก MOU และสร้างกำแพงกั้นตลอดแนวพรมแดน เพื่อแสดงความเด็ดขาดในการรักษาอธิปไตยของชาติ

ท่าทีที่แข็งกร้าวนี้! จึงถูกมองว่าเป็น สัญลักษณ์ทางการเมือง ทีรัฐบาลอนุทินเลือกใช้เพื่อสร้างความมั่นใจแก่สังคมในยามวิกฤต

อย่างไรก็ตาม ในทางการทูตระหว่างประเทศ การฉีก MOU โดยฝ่ายเดียวเป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างยิ่ง

 แม้บันทึกความเข้าใจนี้ื จะไม่ใช่…สนธิสัญญาเต็มรูปแบบ แต่การลงนามย่อมสะท้อนถึงคำมั่นร่วมกัน การที่ไทยเลือกจะยกเลิกโดยไม่ผ่านกระบวนการเจรจา อาจถูกตีความว่าไม่เคารพหลักการสากลและเปิดช่องให้กัมพูชานำเรื่องเข้าสู่ศาลโลกหรือเวทีระหว่างประเทศเพื่อกดดันไทย

ผลที่จะเกิดขึ้นตามมา….อาจไม่เพียงแต่กระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ แต่ยังเสี่ยงต่อการสูญเสียอำนาจต่อรองทางกฎหมายด้วย!!!

ด้านหนึ่ง การสร้างกำแพงกั้นพรมแดน ดูเหมือนจะเป็นมาตรการที่ จับต้องได้และสร้างความมั่นใจ ในเชิง…ด้านความมั่นคง ป้องกันการลักลอบเข้าเมือง ปัญหายาเสพติด และการค้ามนุษย์

แต่ในอีกด้านหนึ่งทำก็ก่อให้เกิดคำถามว่า…มันจะบั่นทอนวิถีชีวิตของประชาชนชายแดนที่พึ่งพาการค้าชายแดนและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมมาอย่างยาวนานหรือไม่???

ตัวอย่างในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอง ก็มีกรณีที่สะท้อนความเป็นไปได้ เช่น แนวรั้วกั้นชายแดนไทย–มาเลเซีย ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการปัญหาความมั่นคงในภาคใต้

การมีรั้วกั้นนี้ ไม่เคยนำไปสู่การเป็นศัตรูหรือทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ!!!

แต่กลับเป็น…เครื่องมือที่ช่วยให้ทั้งสองประเทศสามารถบริหารจัดการปัญหาชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประสบการณ์ดังกล่าวจึงถูกหยิบมาเปรียบเทียบว่า หากไทยสร้างกำแพงกับกัมพูชา ก็อาจไม่จำเป็นต้องถูกมองเป็นเรื่องลบเสมอไป

ทว่า สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ในปัจจุบัน! พบว่า…มีความเปราะบางกว่ากรณีไทย–มาเลเซีย เนื่องจาก…เพิ่งผ่านการสู้รบจริง มีผู้เสียชีวิตและพลเรือนกว่า 300,000 คนต้องอพยพ แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงโดยมีประเทศเพื่อนบ้านและมหาอำนาจเข้ามาเป็นตัวกลาง

แต่ความสงบยังเป็นเพียงชั่วคราว!!!

การสร้างกำแพงในเวลานี้จึงเสี่ยงต่อการถูกตีความว่าเป็นการท้าทายและอาจนำไปสู่การปะทุครั้งใหม่ได้

ในสายตานานาชาติ การเดินหน้าทั้ง 2 เรื่องพร้อมกัน อาจส่งผล 2 ด้าน ด้านบวก ไทยอาจถูกมองว่า…เป็นประเทศที่กล้ายืนหยัดเพื่อปกป้องอธิปไตยและแก้ไขปัญหาที่คาราคาซังมากว่า 20 ปี

แต่ ด้านลบ ไทยก็เสี่ยงจะถูกวิจารณ์ว่า…หันหลังให้การเจรจาและไม่ยึดมั่นในหลักการสากลของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

อาจส่งผลต่อบทบาทของไทยในอาเซียนและในฐานะศูนย์กลางการทูตของภูมิภาค???

ผลสะท้อนภายในประเทศ อาจชัดเจนยิ่งกว่า! หาก“รัฐบาลอนุทิน” เดินหน้าอย่างจริงจัง

ประเด็นนี้ จะกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ทรงพลัง โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังจะมี การเลือกตั้งใหม่ในต้นปีหน้า

ในด้านหนึ่ง การยกเลิก MOU และสร้างกำแพงจะสร้างคะแนนนิยมจากความรู้สึก “รักชาติ–ชาตินิยม” ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเห็นว่า..ผู้นำกล้าหาญและเด็ดขาดในการปกป้องแผ่นดิน

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายค้านและฝ่ายตรงข้าม สามารถโจมตีได้ว่าเป็นการใช้ชาตินิยมเป็นเครื่องมือหาเสียง มากกว่าการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

หาก “ผลลัพธ์” นำไปสู่การเสียเปรียบทางเศรษฐกิจ หรือความเดือดร้อนของประชาชนชายแดนจริง ก็อาจกลายเป็นแรงต้านในสนามเลือกตั้ง

พันธมิตรทางการเมืองของรัฐบาล เอง ก็อาจถูกสั่นคลอน โดยเฉพาะ พรรคการเมือง ที่มี ฐานคะแนนในเขตเศรษฐกิจชายแดนที่พึ่งพาการค้ากับกัมพูชา

หากนโยบายแข็งกร้าวทำให้เศรษฐกิจชายแดนหยุดชะงัก! อาจเกิดแรงเสียดทานที่กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้

ขณะเดียวกัน หาก “รัฐบาลอนุทิน” สามารถผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงสัญลักษณ์ที่จับต้องได้ เช่น การเริ่มต้นโครงการสร้างกำแพงหรือการประกาศยุติ MOU ได้สำเร็จ ก็จะสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็น…

“นายกรัฐมนตรีที่กล้าตัดสินใจ” และอาจพลิกเกมการเมืองให้พรรคภูมิใจไทยมีแต้มต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า

อนาคตทางการเมืองของ “รัฐบาลอนุทิน” จึงผูกพันกับผลลัพธ์ของการตัดสินใจครั้งนี้โดยตรง!!!

หากมาตรการแข็งกร้าว สามารถแปรเปลี่ยนเป็นความมั่นใจและความรู้สึกว่า…ประเทศชาติได้รับการปกป้องจริง ก็อาจทำให้คะแนนนิยมพุ่งสูงและสร้างโอกาสครองอำนาจ ต่อไป

แต่ในทางกลับกัน..หากมาตรการดังกล่าวกลับก่อให้เกิดผลเสียในชีวิตประจำวันของประชาชน ทั้งด้านเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลสะท้อนก็อาจกลับเป็นลบ

และจะทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้า เป็น “จุดเปลี่ยนที่สำคัญ” ของภูมิทัศน์การเมืองไทย!!??

ท้ายที่สุด! เส้นทางที่“รัฐบาลอนุทิน” เลือกเดิน…ไม่เพียงเป็นการจัดการกับปัญหาชายแดน หากแต่เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของอนาคตการเมืองไทยและสถานะของประเทศในเวทีโลก!!!

การฉีก MOU และการสร้างกำแพงกั้นพรมแดน อาจเป็นคำตอบของความรู้สึกภายในประเทศ แต่คำถามสำคัญที่ยังต้องรอคำตอบคือ…

โลกภายนอกจะยอมรับประเทศไทยในภาพลักษณ์เช่นนี้หรือไม่ ???

และคนไทยจะเลือกให้ “รัฐบาลอนุทิน” ได้ก้าวต่อไป หรือถึงเวลาที่ต้อง เปลี่ยน “ผู้นำ” เพื่อรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนกว่านี้ในอนาคต!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password