บินหนี MOU 43-44!!??

ลือกันหึ่ง! ในวันที่ “ฟ้าเปลี่ยนสี การเมืองเปลี่ยนขั้ว” และคนไทย…มี นายกฯใหม่ชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ผลแห่งการมีส่วนร่วมสร้าง MOU 43 และ MOU 44 กับกัมพูชา นำจนไปสู่ข้อกล่าวที่ว่า…ไทยอาจสูญเสียทั้งดินแดนและทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเล จึงทำให้ อดีตนายกฯทักษิณ จำต้องบินหนี! ไปตั้งตัวที่ดูไบ
ณ เวลา 14.42 น. วันที่ 5 ส.ค.2568 ท่ามกลางบรรยากาศการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 ที่ยังคงดำเนินการ ภายใต้การอภิปรายของ ส.ส. 2 ฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งเชียร์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคฯ และแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี จากพรรคภูมิใจไทย และอีกฝ่าย ที่เชียร์ นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย
จนถึงขณะนี้ ทั้ง 2 ฝ่าย ยังมิอาจหยุดภาวะ “วิวาทะทางการเมือง” และนำไปสู่การเปิดให้มีการโหวตเลือก”นายกรัฐมนตรีคนใหม่” ได้แต่อย่างใด?
เอาเป็นว่า…จากนี้ คงจะมีความชัดเจน และหากมีความคืบหน้าทันกับเนื้อหาของบทความชิ้นนี้ “ทีมข่าวการเมือง” ยุทธศาสตร์ออนไลน์ ก็พร้อมจะนำเสนอเป็นการตบท้าย…
อีกด้านหนึ่ง ในห้วงเวลาที่การเมืองไทยกำลังสั่นสะเทือนจากการเปลี่ยนขั้วอำนาจและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ กลับปรากฏข่าว “ช็อก” วงการการเมืองไทย ว่า…นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางออกนอกประเทศอย่างเร่งด่วนเมื่อค่ำวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา
ทำให้เกิดคำถามสะท้อนก้องในสังคม ตามมาว่า…การเดินทางครั้งนี้ เป็นเพียงภารกิจส่วนตัว หรือแท้จริงแล้ว…เป็นการวางแผนหลบหนีจาก “เงามืด” ของคดีและแรงกดดันทางการเมือง
โดยเฉพาะ “ประเด็นร้อน” ที่กลับมาถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง อย่าง MOU 43 และ MOU 44
ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่า…อาจนำมาซึ่งการสูญเสียดินแดนและทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าของประเทศ
ย้อนกลับไปเมื่อช่วง…รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ซึ่งมี นายทักษิณ เป็น รมว.ต่างประเทศ (ปี 2537-2538) ได้มี การลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU 43 ระหว่างไทยกับกัมพูชาในปี 2543 โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกในพื้นที่ที่ยังไม่ชัดเจน
หนึ่งในนั้น คือ บริเวณปราสาทพระวิหาร ข้อตกลงดังกล่าวในเวลาต่อมาได้กลายเป็นชนวนความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ
โดยฝ่ายไทย มีการระบุว่า…กัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงหลายร้อยครั้งจากการก่อสร้างและเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายแดน ทำให้ MOU 43 ถูกวิจารณ์ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน
ต่อมาในปี 2544 เมื่อ นายทักษิณ หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมี ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็น รมว.ต่างประเทศ พวกเขาได้ทำการ ลงนาม MOU 44 กับรัฐบาลกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544
เนื้อหาหลักของบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ว่าด้วย การจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลโดยกำหนดกรอบความร่วมมือในลักษณะ “เขตพัฒนาร่วม” หรือ JDA เพื่อปลดล็อกการใช้ประโยชน์จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่อยู่ใต้ทะเล
ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าว ถูกมองว่า…เป็นการเปิดช่องให้ไทยต้องแบ่งผลประโยชน์กับกัมพูชาในอัตรา 50:50
ทั้งที่บางฝ่ายยืนยันว่า…พื้นที่ดังกล่าวควรเป็นของประเทศไทยทั้งหมด
ดังนั้น MOU ทั้ง 2 ฉบับ ถูกมองว่าเป็น “ชนวนระเบิดทางการเมือง” ที่รอวันปะทุ!!!
และเมื่อ สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาปะทุ กลายเป็นความขัดแย้งทางทหารเมื่อช่วง 24-28 ก.ค.2568 โดยมีการยิงปะทะ และเกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่าย
แต่สิ่งที่ถูกหยิบมาเป็น ประเด็นการเมือง ก็คือ การที่ฝ่ายกัมพูขา พยายามอ้างสิทธิทับซ้อนในหลายพื้นที่…
สิ่งนี้…ยิ่งทำให้สังคมไทยหันกลับมาตั้งคำถามถึงผลพวงของการลงนามในอดีต โดยเฉพาะการจัดสรรผลประโยชน์ทางทะเลที่มีทรัพยากรปิโตรเลียมมูลค่ามหาศาลเป็นเดิมพัน
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ นายทักษิณ ขึ้นเวทีของเครือเนชั่นในเดือนสิงหาคม 2567 และแสดงท่าทีชัดเจน ว่า…
การจัดสรรทรัพยากรใต้ทะเล ควรแบ่งปันกับกัมพูชาในอัตรา 50:50
ยิ่งกลายเป็นชนวนให้ “ฝ่ายตรงข้าม” หยิบยกมาใช้โจมตีอย่างหนัก!!! โดยมองว่า…เป็นการเปิดเผยทัศนะที่สอดคล้องกับข้อกล่าวหา “สุดรุนแรง!!!” ตามที่ฝ่ายตรงข้ามได้กล่าวหาเอาไว้ก่อนหน้านี้…
แม้ บันทึกความเข้าใจทั้ง MOU 43 และ 44 จะเป็นเพียงข้อตกลงเบื้องต้นที่ไม่ใช่สนธิสัญญาผูกพันทางกฎหมาย และในทางหลักการสามารถยกเลิกได้
แต่ก็มี…ข้อถกเถียงเรื่องความชอบธรรมและผลเสียหากยกเลิกก็ยังคงดำรงอยู่
นักวิชาการด้านความมั่นคง หลายฝ่ายเตือนว่า หากไทยเดินหน้าเพิกถอนโดยพลการ อาจเปิดช่องให้กัมพูชายื่นเรื่องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) และสร้างความเสียหายเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ฝ่ายการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อนายทักษิณ กลับใช้ช่องว่างดังกล่าว…เป็นเครื่องมือกดดันและสร้างข้อกล่าวหา ว่า…
อดีตนายกรัฐมนตรี คือ ผู้ที่ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญความเสี่ยงต่อการสูญเสียผลประโยชน์ทางดินแดนและทรัพยากรอันมหาศาล
ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ การเปลี่ยนขั้วอำนาจรัฐในปัจจุบัน จึงกลายเป็น…ปัจจัยสำคัญ!!??
เพราะหาก รัฐบาลใหม่ มีท่าทีต้องการตรวจสอบหรือรื้อฟื้นกรณี MOU ทั้ง 2 ฉบับ ก็ย่อมทำให้ นายทักษิณ ตกเป็น “เป้าหลัก” ของการดำเนินคดี ทั้งในข้อหาทางกฎหมายและในข้อหาทางการเมืองที่หนักหน่วง
ยิ่งกว่านั้น…เมื่อประกอบกับ คดีความชั้น 14 ที่กำลังจะมีคำตัดสินในวันที่ 9 ก.ย.นี้ สถานการณ์ทั้งหมดจึงถูกมองว่า…
เป็นเสมือน “สึนามิลูกใหญ่” ที่จ่อจะซัดเข้าหาตัวของ นายทักษิณ พร้อมกันในเวลาเดียวกัน
ในบริบทดังกล่าว ข่าวการเดินทางออกนอกประเทศของ นายทักษิณ เมื่อคืนวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา จึงถูกตีความอย่างกว้างขวาง ว่า…
นี่ไม่ใช่เพียงการเดินทางธรรมดา!!??
แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น และวิตกกังวลต่ออนาคตทางการเมือง รวมถึงคดีความที่จะมีตามมาในอนาคตอันใกล้
หลายฝ่ายเชื่อว่า…การเดินทางครั้งนี้ คือการ “บินหนี” ที่มี…ฉากหลัง! เป็นแรงกดดันจาก MOU 43 และ 44 ซึ่งกำลังจะถูกนำมาสร้างกระแสโจมตีและอาจนำไปสู่การเอาผิดทางกฎหมาย
ด้วยข้อกล่าวหา…สุดรุนแรง!!!
สิ่งนี้…จะถูกขับเน้นให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น และกลายเป็น “อาวุธทางการเมือง” ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง!
ในห้วงเวลาที่ “อำนาจรัฐ” กำลังเปลี่ยนมือ!!!
แม้จนถึงขณะนี้ จะยังไม่มีข้อเท็จจริงที่ยืนยันแน่ชัด ว่า…การเดินทางออกนอกประเทศของ นายทักษิณ มันจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับปม MOU 43 และ 44 หรือไม่? อย่างไร?
แต่เมื่อประกอบเข้ากับบริบทของ การเปลี่ยนรัฐบาลและแรงกดดันจากสังคมไทย โดยเฉพาะจาก ฝ่ายตรงข้าม!!! ของนายทักษิณ
การตั้งคำถามในเชิงการเมือง ก็ยิ่งปะทุดังขึ้นทุกขณะ ในทำนอง…นายทักษิณ กำลังเผชิญกับ “ทางเลือกที่เลี่ยงไม่ได้!!!”
ระหว่าง…การต่อสู้คดีในประเทศ ภายใต้แรงเสียดทานมหาศาล กับ การตัดสินใจบินหนีออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นั่นจึงเป็น “เหตุผลหลัก” ที่แท้จริง หรือไม่??? ว่า…มันคือต้นเหตุที่ทำให้ นายทักษิณ จำต้องแอบบินหนีออกไปตั้งตัว อยู่ในเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อเตรียมการต่อสู้ครั้งใหม่และครั้งใหญ่ในทางการเมือง
คงต้องลุ้นกันว่า…กับ “คำมั่นสัญญา” ที่พูดผ่าน เครือข่ายในพรรคเพื่อไทย ว่า…ตัวเขา (นายทักษิณ) จะกลับมาฟังคำพิพากษาคดีชั้น 14 ด้วยตัวเอง ในวันที่ 9 ก.ย.นี้ โดยจะกลับมาก่อนหน้านั้น 1 วัน หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการรักษาตัวในทางการแพทย์แล้ว…
กลับหรือไม่กลับ??? ย่อมมีผลต่อข้อสังเกตข้างต้นที่ว่า “ทักษิณบินหนี MOU 43-44”
สำหรับ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประธานที่ประชุมฯ ได้กดปุ่มเริ่มทำการโหวตอย่างเป็นทางการ เมื่อเวลา 15.00 น.โดยประมาณ และมีผู้เข้าร่วมประชุมฯ 489 คน จากจำนวน สส.ทั้งหมด 490 คน
แม้จะเกิดความผิดพลาดในทางเทคนิค (ระบบอิเล็กทรอนิกส์) กระนั้น การโหวตเลือกฯ ก็กลับมาเดินหน้ากันต่อไป กระทั่ง เมื่อเวลา 16.06 น.โดยประมาณ ประธานฯในที่ประชุมสภาฯ ได้ปิดการโหวตฯ จากนั้น มอบหมายให้คณะกรรมการฯทั้ง 6 คน ได้ทำการรวบรวมคะแนน และที่ประชุมที่มีมติเห็นชอบว่า…
นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ลำดับที่ 32 ของประเทศไทย คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ด้วยคะแนนเสียง 311 ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 25 เสียง
แน่นอนว่า…ระหว่างการบริหารประเทศของ นายกฯอนุทิน ภายใต้เงื่อนไข 5 ข้อที่มีกับพรรคประชาชน นั้น
การดำเนินการกับประเด็น MOU 43-44 จะเกิดขึ้นหรือไม่? ก็คงต้องลุ้นกันต่อไป!!!.