‘นายกฯหนู’ กับ 10 ภารกิจร้อน!

รัฐบาลเสียงข้างน้อย มีอายุการบริหารประเทศ 4 เดือน แต่ “นายอนุทิน” ก็มิใช่ “นายกฯ-พันธะทาส” เหมือนบางคน? 5 เงื่อนไข พรรคประชาชน นำไปสู่…ภารกิจร้อนๆ หลังจากการโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ วันพรุ่งนี้ (5)…Top 10 ภารกิจร้อน! ของ “นายกฯอนุทิน” และ “รัฐบาลภูมิใจไทย” มีอะไรบ้าง? ไปสำรวจกันดู…
ฝุ่นควันทางการเมืองเริ่มจาง!!! คนไทยกำลังจะได้ “ผู้นำประเทศคนใหม่” เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ไม่มี “พันธะทาส” ผูกพันกับประเทศข้างบ้าน???…
ไม่ว่า…วันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ 5 ก.ย.นี้ “เจ้าของแชมป์ 2 สมัยซ้อน” (มีนายกรัฐมนตรี 2 คน คือ “นายเศรษฐา ทวีสิน – น.ส.แพทองธาร ชินวัตร”) จะส่ง “ผู้ท้าชิง” ที่เหลือ (แคนดิเดทรายที่เหลือ “นายชัยเกษม นิติสิริ”)…ลงสนามแข่งขันหรือไม่?
ที่สุด! นายกรัฐมนตรีลำดับที่ 32 คงไม่พ้นคนชื่อ…นายอนุทิน ชาญวีรกูล
อย่างที่รู้กัน! ตัวแปรสำคัญอย่าง…พรรคประชาชน จำเป็นและจำใจต้องเลือกหนทางนี้ ทั้งที่ พรรคภูมิใจไทย เอง ก็เคยสร้างบาดแผลในใจให้กับคนของพรรคประชาชน ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า…พรรคเพื่อไทย สักเท่าใด?
แต่เป็นการโหวตให้ ภายใต้เงื่อนไขสำคัญ 5 ข้อ ที่…พรรคภูมิใจไทย ในฐานะ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” จะต้องรับและทำตามข้อตกลงที่ว่านี้…
ทำ…เพื่อให้การเมืองไทย ได้เดินไปข้างหน้าในระยะสั้น ภายในกรอบเวลาไม่เกิน 4 เดือน หลังได้เป็นรัฐบาล…
ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” คือ การรักษาความมั่นคงทางการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่าน และทำให้ประเทศไม่หยุดชะงักท่ามกลางแรงกดดันจากทุกทิศทาง
ถึงตรงนี้ เราลองมาวิเคราะห์ถึง 10 ภารกิจเร่งด่วน! ของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ “นายกฯอนุทิน” ว่า…จะมีอะไรบ้าง?
สิ่งแรกที่ “นายกฯอนุทิน” ต้องเร่งทำ คือ การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาภายใน 15 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด การแถลงครั้งนี้ อาจไม่ได้มีสาระเพื่อประกาศนโยบายระยะยาว เหมือนรัฐบาลทั่วไป แต่เป็นการยืนยันต่อสภาและสังคมไทยว่า…
รัฐบาลใหม่ จะเป็น “รัฐบาลเฉพาะกิจ” มีภารกิจชัดเจน คือ เดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ และเตรียมความพร้อมในการจัดทำ “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ที่ประชาชนเป็นผู้กำหนด
การแถลงดังกล่าว จึงเปรียบเหมือนการ “ขีดเส้นใต้” ว่า…จะไม่มีการยื้อเวลา และไม่แสวงหาอำนาจ เพื่ออยู่ต่อเกินกว่าที่เงื่อนไขกำหนด
ภารกิจเร่งด่วนลำดับถัดมา คือ การประกาศกรอบเวลาในการยุบสภา ซึ่งตามข้อตกลงระบุไว้ชัดว่า…ไม่เกิน 4 เดือน หลังการแถลงนโยบาย
ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้อง แสดง Roadmap ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ว่า…ในเดือนใดจะมีการยุบสภาเพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งใหม่
การประกาศล่วงหน้า…จะช่วยลดแรงเสียดทานทางการเมือง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่ายว่า…การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ จะไม่กลายเป็นเพียงการรักษาอำนาจชั่วคราว…โดยไร้ทิศทาง!!!
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ ที่อยู่ในเงื่อนไข นั่นคือ การจัดทำประชามติว่าด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หาก ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า…จำเป็นต้องทำประชามติก่อนจึงจะเดินหน้าสู่กระบวนการแก้ไขได้
คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ก็ต้องรีบดำเนินการทันที ไม่ว่าจะเป็น…การประสานงานกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง การจัดงบประมาณ และการรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจความหมายของการออกเสียงประชามติครั้งนี้
กลับกัน…หาก ศาลตัดสินว่าไม่จำเป็นต้องทำประชามติก่อน รัฐบาลก็ต้องรีบเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด
ทั้งหมดนี้ คือ โจทย์ใหญ่ที่ “รัฐบาลอนุทิน” ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังเพราะเวลามีจำกัด
ในช่วงสี่เดือนนี้ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” จำเป็นต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า…จะถูกฝ่ายค้านตรวจสอบอย่างเข้มข้น! เพราะ พรรคประชาชน ยืนยันว่า…จะไม่เข้าร่วมรัฐบาลและจะไม่มีใครรับตำแหน่งรัฐมนตรี
ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องบริหารประเทศด้วยความโปร่งใส และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีว่าล้ำเส้นหน้าที่เฉพาะกิจ
การรักษาสมดุลเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย!!!
แต่เป็นสิ่งที่จำเป็น…เพื่อให้ภารกิจการยุบสภาและการเดินหน้าสู่รัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้นจริง
ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่รัฐบาลจะไม่สามารถละเลยได้เลย นั่นคือ การดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะสั้น
แม้จะมีเวลาจำกัด แต่การปล่อยให้ประชาชนเผชิญปัญหาปากท้องโดยไม่มีการบรรเทาใดๆ จะยิ่งทำให้รัฐบาลขาดความชอบธรรม!!!
“นายกฯอนุทิน” และ “ครม.หนู” จำเป็นต้องจัดการงบประมาณหมุนเวียนเพื่อตอบสนองต่อค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เช่น ค่าจ้างข้าราชการ การช่วยเหลือเกษตรกร และมาตรการบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ ด้านพลังงานและราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่ารัฐบาลชั่วคราวนี้ยังคงห่วงใยประชาชน
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การจัดตั้งคณะทำงานด้านรัฐธรรมนูญ แม้รัฐบาลชุดนี้จะมีอายุเพียงสี่เดือน แต่การวางโครงสร้างและขั้นตอนสำหรับการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเลือกตั้งเป็นเรื่องจำเป็น หากไม่มีการเตรียมการใดๆ หลังการยุบสภาอาจเกิดสุญญากาศทางการเมืองที่ยืดเยื้อได้
“นายกฯอนุทิน” จึงต้องแสดงความจริงใจผ่านการตั้งทีมงานเฉพาะกิจเพื่อวางกรอบการทำงานของ สสร.
ขณะเดียวกัน การสื่อสารสาธารณะของรัฐบาล ก็จะต้องดำเนินอย่างต่อเนื่องและโปร่งใส เพื่อป้องกันข้อครหาว่า…มีการบิดพลิ้วหรือไม่ทำตามข้อตกลง
การรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ ทั้งผ่านสภาและสื่อมวลชน จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและลดความเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าเป็นเพียงรัฐบาลยื้อเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเกราะคุ้มกันทางการเมืองให้รัฐบาลอยู่รอดตลอดสี่เดือนโดยไม่เผชิญแรงกดดันที่รุนแรงเกินไป
อีกโจทย์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็คือ การรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม เนื่องจากช่วงเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ มักเป็นช่วงที่เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งในและนอกสภา ซึ่ง รัฐบาลเสียงข้างน้อยจะเปราะบางมาก หากเกิด การชุมนุมใหญ่หรือความไม่สงบ
“นายกฯอนุทิน” จึงต้องแสดง “ภาวะผู้นำ” ที่ใช้การเจรจาและการสื่อสารมากกว่าการใช้อำนาจแข็งกร้าว เพราะการตัดสินใจผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้สถานการณ์บานปลายจนไม่สามารถควบคุมได้
ในด้านปฏิบัติ รัฐบาลยังต้องประสานงานกับ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเขตเลือกตั้ง งบประมาณเลือกตั้ง หรือข้อกฎหมายที่จำเป็น
การวางแผนล่วงหน้าเช่นนี้…จะทำให้การยุบสภาไม่ใช่เพียงคำประกาศ แต่สามารถเดินไปสู่การเลือกตั้งจริงภายในกรอบเวลาที่กำหนด
ท้ายที่สุด “รัฐบาลอนุทิน” ยังต้องเตรียมรับมือกับ “เกมในสภา” แม้เป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” แต่ก็ยังมีภารกิจต้องผ่านญัตติสำคัญบางประเด็น เช่น งบประมาณเพื่อการใช้จ่ายระยะสั้น หากไม่สามารถบริหารจัดการได้ สภาฯอาจล่มและสร้างวิกฤติทางการเมืองซ้อนทับ
จำเป็นที่ “นายกฯอนุทิน” ต้องใช้การเจรจาเป็น “รายประเด็น” กับ ฝ่ายค้านหรือพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อให้สภายังคงเดินหน้าได้…โดยไม่สะดุด!!!
ทั้งหมดนี้ คือ “Top 10 ภารกิจร้อน” ที่ “รัฐบาลภูมิใจไทย” และ “นายกฯอนุทิน” จะต้องเผชิญในช่วง 4 เดือนข้างหน้า
ครั้งนี้ คงไม่ใช่…การบริหารประเทศแบบเต็มรูปแบบ! หากแต่เป็น…ภารกิจเฉพาะกิจเพื่อพาประเทศข้ามพ้นความไม่แน่นอน เปิดทางไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ และวางรากฐานของรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเป็นผู้กำหนด
ความสำเร็จของรัฐบาลชุดนี้…ไม่ได้วัดจากการผลักดันนโยบายใหญ่ หรือ การสร้างผลงานทางเศรษฐกิจ
แต่จะวัดจากความจริงใจ ความโปร่งใส และการทำตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อสภาและประชาชน
หากทำได้ครบถ้วน ประเทศไทย…ก็จะก้าวสู่การเลือกตั้งใหม่ ด้วยความหวังและความเชื่อมั่นมากกว่าความกังวล
ผลลัพธ์ท้ายที่สุด! “ทั้งดีและเลว บวกและลบ” ก็จะไหลกลับไปหา “รัฐบาลภูมิใจไทย” และ “นายกฯอนุทิน” เอง.