‘ภูมิธรรม’ หวัง JBC ‘ไทย-กัมพูชา’ วันนี้ แก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดน 2 ชาติ – ‘ฮุน เซน’ รุกต่อ! วอนนานาชาติบีบไทยร่วมขึ้นศาลโลก

“รองนายกฯ ภูมิธรรม” โพสต์ข้อความ “ยังหวังผลประชุม JBC ไทย – กัมพูชา จะราบรื่น” ดึงเอาบรรยากาศสงบ สันติสมานฉันท์ กลับคืนมา พร้อมกับร่วมรักษาผลประโยชน์ของประชาชน 2 ชาติ ด้าน “ฮุน เซน” โพสต์ต่อ! วอนนานาชาติ บีบไทยเข้าร่วมประชุมศาลโลก เจรจาพื้นที่ข้อพิพาท 4 จุด ชี้! ไม่สามารถประนีประนอมผ่านกลไกทวิภาคีได้ แม้จะผ่านไป 100 ปีแล้ว ก็ตาม
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อมูลลงเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อค่ำของวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ถึงการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (Joint Boundary Commission : JBC) ที่จะมีขึ้นในวันนี้ (14 มิถุนายน) ณ กรุงพนมเปญว่า…
“ผมหวังว่าการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิ.ย. 2568 จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เพื่อให้เกิดความเป็นปกติสุขระหว่างสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม อันจะนำไปสู่ความร่วมมือ ในการประคับประคองมิตรภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเกิดแนวทางความร่วมมือทุกระดับ เพื่อสันติสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ
ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนทั้งไทย กัมพูชารับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เป็นความจริงจากรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ เนื่องจากเป็นการสื่อสารที่เป็นทางการ ไม่บิดเบือน และไม่มีท่าทียั่วยุให้เกิดความขัดแย้ง หรือความไม่เข้าใจกัน จนเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาอย่างสันติ
จากการประสานงานของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ เราต่างเห็นตรงกันว่า เราอยากเห็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศและประชาชนกลับคืนมา เราปรารถนาให้เกิดความร่วมมือแก้ไขปัญหาทุกด้าน เพื่อฟื้นคืนความสงบสันติในทุกมิติ ทั้งความสัมพันธ์ที่มั่นคง เศรษฐกิจ การคมนาคม สังคม และวัฒนธรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขร่วมกันของประชาชนทั้ง 2 ประเทศเหมือนเช่นความสัมพันธ์ที่เคยเป็นมา
หวังว่า ในวันที่ 14 มิ.ย. 2568 จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี มีบทสรุปและแนวทางที่มีความหมายต่อการสร้างสรรค์และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองฝ่าย เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามชายแดนอยู่ในสถานการณ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรเพื่อนำพาบรรยากาศสงบ สันติสมานฉันท์ และร่วมกันในการรักษาประโยชน์ร่วมของประชาชนไทย-กัมพูชา กลับมาสู่ภาวะปกติสุข ด้วยความเชื่อมั่นดังที่เคยเป็นมา”
อีกด้านหนึ่ง เมื่อช่วงค่ำ วันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้โพสต์ข้อความลงบนโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของเขา เรียกร้องให้ รัฐที่เคารพกฎหมาย สนับสนุนให้ไทยดำเนินเข้าร่วมพิจารณาคดีกับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (Cour internationale de justic : ICJ) ในกรณี ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนกับประเทศกัมพูชา โดยระบุว่า กัมพูชาไม่ได้ขออาวุธและกระสุนเพื่อเริ่มการต่อสู้นองเลือดระหว่างกัมพูชากับไทย แต่กัมพูชาขอสนับสนุนการร่วมแก้ปัญหาอย่างสันติผ่านการเจรจา กลไกทวิภาคี และผ่านศาลศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
“ในตอนนี้ เพื่อนร่วมชาติและเพื่อนต่างชาติของผม คงจะเข้าใจแล้วว่าทำไมผมจึงตัดสินใจสั่งให้ กระทรวงการต่างประเทศและตัวแทนกัมพูชาของเราไปลงคะแนนเสียงคัดค้านการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2022 (พ.ศ.2565) ซึ่งทำให้หลายประเทศตกใจกับพฤติกรรมของกัมพูชา
ผมคิดว่าสักวันหนึ่งประเทศไทยจะกระทำเช่นเดียวกับที่ทำในปี 2008 (พ.ศ.2551) ถึง 2011 (พ.ศ.2554) ตอนนี้ การรุกรานโดยไร้กฎหมายของกัมพูชาได้ถูกเปิดเผยแล้ว สิ่งนี้สามารถอธิบายความคิดของผมสำหรับโลกที่เคารพกฎหมายและอนาคตของกัมพูชากับไทยได้
กัมพูชาเรียกร้องให้รัฐที่ดำเนินนโยบายต่างประเทศตามกฎหมายเพื่อสนับสนุนให้ทั้งสองฝ่ายแก้ไขปัญหานี้โดยสันติและสอดคล้องกับกฎหมาย คำขอของกัมพูชาคือขอให้รัฐที่เคารพกฎหมายสนับสนุนให้ฝ่ายไทยดำเนินการผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรณีชายแดนกับกัมพูชาใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1. พื้นที่สามมุมของชายแดนกัมพูชา-ลาว-ไทย 2. วัดตาเมือนธม 3. วัดตาเมือนโตช และ 4. วัดตากระบี
กัมพูชาไม่ได้ขออาวุธหรือกระสุนปืนเพื่อต่อสู้สงครามนองเลือดระหว่างกัมพูชากับไทย แต่ขอการสนับสนุนให้แก้ปัญหาอย่างสันติผ่านการเจรจา กลไกทวิภาคี และผ่านศาล ชายแดนกัมพูชา-ไทยมีความยาวมากกว่า 800 กิโลเมตร กัมพูชาได้กล่าวถึงเพียง 4 ประเด็น ซึ่งเป็นประเด็นร้อนและอ่อนไหวที่มักถูกโจมตีด้วยอาวุธ และได้ยื่นฟ้องเพื่อแก้ไขล่วงหน้า ประเด็นทั้ง 4 ประเด็นที่กล่าวถึงข้างต้นไม่สามารถประนีประนอมผ่านกลไกทวิภาคีได้ และแม้จะผ่านไป 100 ปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถแก้ไขให้เรียบร้อยได้ ดังนั้น มีเพียงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)เท่านั้นที่สามารถแก้ไขให้เรียบร้อยได้
การยุติข้อพิพาททางกฎหมาย ไม่ใช่การยั่วยุให้เกิดสงคราม แต่เป็นการยุติข้อพิพาททางกฎหมายอย่างสันติเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดในอนาคต นอกจากนี้ รัฐบาลยังอธิบายให้ประชาชนของตนเองเข้าใจได้ง่ายขึ้นในกรณีที่แพ้คดีในศาล ในบรรดาประเทศอาเซียน มีตัวอย่างที่ดีที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย ได้นำข้อพิพาทเรื่องดินแดนเข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อให้แต่ละฝ่ายแก้ไข โดยเคารพคำตัดสินของศาล ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย และความสัมพันธ์ของมาเลเซียกับสิงคโปร์ยังคงดีและปราศจากข้อพิพาท
การหลีกเลี่ยงไม่กล้าเข้าสู่ระบบศาลถือเป็นการกระทำผิดและไม่เคารพกฎหมายในระเบียบโลกที่เคารพกฎหมาย”.