‘สว.สำรอง’ ยกทีมให้กำลังใจ ‘ทวี – DSI’ เดินหน้าคดีฟอกเงินก๊วนฮั้ว สว.

กลุ่ม “สว.สำรอง” รวมตัวให้กำลังใจ “รมว.ยุติธรรม-ดีเอสไอ” หลังดับเครื่องชน “กลุ่มฮั้วเลือกตั้ง สว.” รับทำคดีพิเศษ “ฟอกเงิน” พร้อมมั่นใจคณะพนักงานสอบสวนฯทำงานร่วมอัยการ ล้างบางแก๊งปล้นชาติ เชื่อ! ปมที่ “ณฐพร โตประยูร” ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ขาดเลือก สว. เป็นโมฆะยกชุด จะไม่เกิดขึ้นจริง เหตุกฎหมายชี้ชัด! ใครผิดก็จัดการเฉพาะคนนั้น
เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา ณ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้นำกลุ่ม สว.สำรอง พร้อมด้วย เพื่อนสมาชิก สว.สำรอง เดินทางมาให้กำลังใจ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษทั้ง 41 รายชื่อ รวมถึงให้กำลังใจ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ภายหลังถูก กลุ่ม สว. ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีรับคดีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ ในความผิดฟอกเงิน โดยมี นายสมเกียรติ เพชรประดับ ผอ.ส่วนพิจารณาสำนวนร้องทุกข์ กองบริหารคดีพิเศษ เป็นผู้แทนรับเรื่อง
พล.ต.ท.คำรบ เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์หลักคือมาให้กำลังใจกระทรวงยุติธรรมและเจ้าหน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ทราบว่าวันนี้ทางผู้บริหารของกรมฯ และกระทรวงฯ ไปประชุมผู้บริหารระดับสูงนอกสถานที่ ตนจึงขอโอกาสนี้ได้มอบช่อดอกไม้และกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และที่ผ่านมา ยังได้ปรากฏกลุ่มคนที่สร้างกระแส เราจึงต้องมาให้กำลังใจทุกท่าน เพื่อทำเรื่องนี้ต่อไปได้อย่างมั่นคง มุ่งมั่นให้ความจริงปรากฏ เพื่อประชาชน และเพื่อประเทศชาติ และพร้อมจะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ดีเอสไอ

สำหรับคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษของอธิบดีดีเอสไอ ที่ได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอถึง 41 ราย มาเป็นพนักงานสอบสวนในคดีฮั้ว สว.ปี 67 นั้น เท่าที่ตนเห็นรายชื่อตนมั่นใจ เพราะส่วนหนึ่งในรายชื่อตามที่ปรากฏนั้น ตอนที่เป็นเรื่องสืบสวน ตนก็ได้มีโอกาสทำงานและได้นำข้อมูลไปให้ทางเจ้าหน้าที่เหล่านี้ที่ได้ดำเนินการสืบสวนจนปะติดปะต่อเรื่องมาถึงขั้นตอนนี้ได้
พล.ต.ท.คำรบ เผยต่ออีกว่า ส่วนกรณีที่จะต้องมีพนักงานอัยการมาร่วมสอบสวนกับดีเอสไอด้วยนั้น เรื่องนี้ยิ่งทำให้เรามั่นใจ เพราะอย่างน้อยพนักงานอัยการเมื่อมาร่วมสอบสวน พนักงานอัยการก็จะสามารถชี้แนะในแง่มุมกฎหมาย ยิ่งทำให้สำนวนมีความรัดกุมและชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น โอกาสที่สำนวนเมื่อพ้นจากชั้นสอบสวน ก็จะเข้าสู่ชั้นอัยการ โอกาสที่จะถูกสอบสวนเพิ่มเติมหรือสั่งเพิ่มเติมหรือถูกสั่งไม่ฟ้องน่าจะน้อยลงมากๆ
สำหรับประเด็นที่มีสมาชิกวุฒิสภาบางส่วนได้รวบรวมรายชื่อไปยื่นเรื่องถึง คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาในความผิดมาตรา 157 ต่อ รมว.ยุติธรรม และ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นั้น ในเรื่องดังกล่าวตนยังได้ทบทวนอยู่ว่าที่ท่านไปร้อง ไปร้องในฐานะอะไร เพราะถ้าถามว่าท่านไปในฐานะที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา ในบัญญัติเกี่ยวกับจริยธรรมของนักการเมือง 10 ข้อ ท่านใช้สถานะไปก้าวก่ายฝ่ายบริหารหรือไม่ แทรกแซงทำให้เกิดผลประโยชน์ส่วนตนหรือส่วนอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ และการที่ท่านไปกล่าวว่าเขาอย่างนั้นเป็นการที่ท่านไปบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริงที่ทำให้ประชาชนสับสนหรือไม่ แต่ขณะเดียวกันมองว่า หรือท่านไปยื่นในฐานะที่เป็นผู้เสียหาย เพราะถ้ายื่นเป็นผู้เสียหาย คดีนี้ดีเอสไอเพิ่งรับเป็นคดีพิเศษ แต่ก็ยังไม่ได้มีการตั้งข้อกล่าวหาผู้ใด แบบนี้จะถือเป็นการร้อนตัวไปก่อนหรือไม่
“ดังนั้น การที่ท่านแสดงออกเช่นนี้ จึงมีความรู้สึกว่ามันยังไม่ชัดเจนว่าท่านแสดงออกในฐานะใด แต่คิดว่าในวันข้างหน้าอาจจะมีบางคนไปยื่นตรวจสอบจริยธรรมของท่านบ้างก็ได้ อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าทางดีเอสไอคงไม่ลำบากใจ เพราะว่าเขาได้ทำเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และทำบนพยานหลักฐานข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ขอฝากข้อห่วงใยไปยังกลุ่มสมาชิกวุฒิสภาที่ได้ไปยื่นเรื่องว่าท่านกำลังสุ่มเสี่ยงในเรื่องจริยธรรมหรือไม่” พล.ต.ท.คำรบ กล่าว
เมื่อถามว่านับตั้งแต่ที่ กลุ่มคณะ สว.สำรอง ได้มีการมายื่นเรื่อง หรือมอบข้อมูล รายละเอียดเอกสารพยานต่าง ๆ กับดีเอสไอ ได้ถูกสายโทรศัพท์โทรข่มขู่ หรือขอให้ยุติการดำเนินการบ้างหรือไม่ พล.ต.ท.คำรบ ระบุว่า คงไม่ได้หรอกเพราะว่าการที่พวกตนมาดำเนินการอยู่ในตอนนี้ ก็เพื่อประเทศชาติเป็นหลัก จริงอยู่ที่ว่าพวกตนเป็น สว.สำรอง อาจจะมีส่วนได้เสียจากการเคลื่อนไหวและเรียกร้องในครั้งนี้ ซึ่งพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นมองว่าเป็นการกินบ้านกินเมือง เป็นการปล้นชาติปล้นแผ่นดิน เมื่อเห็นถึงขบวนการเหล่านี้ ตนคิดว่าจะไม่หยุด อย่างน้อยตัวเองก็เป็นข้าราชการตำรวจเกษียณแล้วยังเหลือเวลาอีกไม่มาก จะต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องสุดท้ายของชีวิต
ส่วนเรื่องเอกสารรายชื่อพยาน 7,000 รายชื่อที่มีหลุดออกมา ซึ่งอยู่ในกลุ่มพยานที่ดีเอสไอจะต้องเรียกสอบสวนปากคำนั้น พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า เท่าที่ได้ดูก็รู้จักบางคน ทางดีเอสไอคงจะตรวจสอบ จากข้อมูลที่มีพบว่ากระบวนการเหล่านี้จะมาเคลื่อนไหวหรือติดต่อสัมพันธ์กันในช่วงวันที่ 23-25 พ.ค.67 โดยเริ่มต้นจากระดับอำเภอ ตั้งแต่มีการสมัครในช่วงเดือน พ.ค.67 ความผิดเริ่มปรากฎในช่วงนั้น การสมัครระดับอำเภอ มีเงินทอน เงินจ้าง ค่ารถ ฯลฯ ซึ่งบุคคลที่มีรายชื่อปรากฏต้องไปสำรวจตัวเองว่ามีรายการค่าใช้จ่ายอย่างไร จะได้ชี้แจงได้ หากมีการเรียกมาให้การ
ส่วนประเด็นการยื่นหนังสือของ นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อต้องการให้การเลือก สว. เป็นโมฆะทั้งชุดตัวจริงและ สว.สำรอง นั้น พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า มองว่าโอกาสที่จะเป็นโมฆะ ไม่น่าจะมีโอกาสมากนัก เพราะกฎหมายเขียนไว้ว่า หากเกิดความผิดใดปรากฏกับบุคคลใดก็จัดการคนนั้นไป และผลของการกระทำของบุคคลดังกล่าวไม่ส่งผลต่ออดีตที่ทำมา ตามข้อเท็จจริงมี สว.ตัวจริง 200 คน มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่อยู่ในข่าย 130-140 คน ส่วนที่เหลือไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากจะต้องล้มหรือโมฆะคงไม่เป็นธรรมที่จะให้เขามารับผลในส่วนนี้ด้วย ใครผิดก็จะต้องจัดการคนนั้นไป และกฎหมายเรื่องเลือกตั้งได้เขียนไว้ชัดเจนว่าหากจัดการไปแล้วให้นำ สว.สำรอง ขึ้นมาแทน หากรวมกันแล้วไม่ถึงกึ่งหนึ่งก็ให้ไปเลือกซ่อมส่วนที่เหลือ กฎหมายเขียนไว้แล้ว มีช่องทางเดินก็ให้เดินตามช่อง จึงมองว่าไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องโมฆะ.