เราไม่แก้!!!

น้อยครั้งที่จะเห็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน พูดจากเสียดสี…ทิ่มแทงในทางการเมืองน้อยกว่าฝั่งรัฐบาล

ต่างจากยุคสมัยปัจจุบัน…รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่างถูกมองจากสังคมภายนอก อาจกำลังจัดเต็มต่อการวางตัว “มนุษย์ปากพล่อย” ในทางการเมือง เพื่อปฏิบัติการ พูดจาเสียดสี…ทิ่มแทงในทางการเมือง เอากับฝ่ายตรงข้าม อยู่หรือไม่?

ต่อให้ฝั่งรัฐบาลจะมีเปอร์เซ็นต์ความเป็น “มนุษย์ปากพล่อย” น้อยกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อฝ่ายค้าน ไม่มี “มนุษย์ปากพล่อย” เจือจนอยู่ ดังนั้น ดีกรีความเป็น “มนุษย์ปากพล่อย” ของฝั่งรัฐบาล ย่อมมีสูงกว่าอยู่ดี

ในวันที่ผู้คนในสังคมไทย ต่างมีความรู้และมีการศึกษา แยกแยะได้ว่า…อะไรควรไม่ควร? อะไรทำได้หรือทำไม่ได้ อ้างอิงฐานข้อมูลและทฤษฎีความคิดมาเป็นพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ ย่อมจะล่วงรู้ว่า…บทบาท ความเป็น “มนุษย์ปากพล่อย” ของคนในฝั่งรัฐบาล ที่แสดงออกมานั้น

เหมาะสมและคู่ควรต่อการถือครอง “อำนาจรัฐ” หรือเปล่า?

ปมการยื่น อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 โฟกัสไปที่ น.ส.แพทองธาร เพียงคนเดียว ในฐานะ “หัวหน้ารัฐบาล” ที่ต้องกำกับดูแลคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ ย่อมต้องตอบข้อสงสัยแทนรัฐมนตรี หรือมอบหมายให้รัฐมนตรีที่ถูกพาดพิงถึงตอบแทนตน

ถือเป็นสิ่งที่สังคมการเมือง และผู้คนที่จับจ้องเหตุการณ์บ้านเมือง ยอมรับได้

แน่นอนว่า…การตัดสินใจในการกำหนดนโยบายใดๆ ของ น.ส.แพทองธาร และรัฐบาลชุดนี้ ก็อาจได้รับอิทธิพลจาก บุคคลภายนอก ไม่ว่าจะเป็น…ทีมที่ปรึกษาแห่งบ้านพิษณุโลก ที่มี นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นประธานคณะที่ปรึกษาฯ หรือแม้แต่ผู้ที่กำหนดบทบาทตัวเองเป็น “สทร.” เช่น อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร “บิดาของ น.ส.แพทองธาร” เองก็เป็นได้…

ฉะนั้น หากฝ่ายค้านจะอภิปรายพาดพิงไปยังกลุ่มบุคคลดังกล่าว ที่ต่อให้เจ้าตัวจะไม่มีสิทธิ “ชี้แจง” ในสภาผู้แทนราษฎรได้ ก็ไม่เห็นจะแปลก ด้วย 2 เหตุผลสำคัญ

หนึ่ง…นายกฯแพทองธาร สามารถจะชี้แจงแทนในสภาฯได้อยู่แล้ว

สอง…ในเมื่อ น.ส.แพทองธาร และรัฐบาลชุดนี้ รับเอาข้อเสนอแนะจากบุคคลกลุ่มดังกล่าว มาเป็นแกนหลักสำคัญในการสร้างและกำหนดนโยบายของรัฐบาล ประหนึ่ง รับอิทธิพลทางความคิดมาปฏิบัติงาน ก็ไม่แปลกที่จะต้องถูกพาดพิงถึง…

รัฐบาลรับเอาความคิดและข้อเสนอแนะจากคนกลุ่มนี้มาปฏิบัติ จะไม่ให้พูดถึงพวกเขาเหล่านั้นได้อย่างไรกัน?

ตรงนี้ ถือว่า…แฟร์ๆ กันทุกฝ่าย!!!

แต่การที่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหนังสือด่วนที่สุดถึง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะ “ผู้นำฝ่ายค้าน” เพื่อให้ถอดชื่อ อดีตนายกฯทักษิณ ออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นั้น

ในทางทฤษฎีทำได้ แต่ในทางปฏิบัติ ก็ต้องเปิดโอกาสให้พรรคฝ่ายค้าน ได้อภิปรายพาดพิงถึงได้บ้าง ก็ด้วยเหตุข้างต้น

หากรัฐบาลคอยจ้องจะวาง “องครักษ์” ทั้งในและนอกสภาฯ เพื่อให้ทำหน้าที่…สกัดขัดขวาง แม้กระทั่ง สวมวิญญาณเป็นพวก “มนุษย์ปากพล่อย” คอยพูดจาเสียดสีและทิ่มแทงในทางการเมือง ก็ถือว่า…รัฐบาลไม่แฟร์เอามากๆ

บทบาทของ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จะอยู่ในข่ายนี้หรือไม่? ไม่อาจตอบได้

“…หนังสือด่วนที่สุดได้ระบุไว้ชัดว่าการระบุรายชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติ อาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถเข้าไปชี้แจงในที่ประชุมสภาฯ ได้ วิญญูชนฟังแล้วเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร ประชาชนอาจเบื่อหน่ายได้ว่าขนาดเขียนเนื้อหาญัตติยังเขียนไม่ถูก อย่างอื่นจะฝากความหวังอะไรได้ หรือถ้าไม่มีชื่อนายทักษิณในญัตติ ฝ่ายค้านจะไม่มีเรื่องพูด ไม่มีแรงบันดาลใจในการอภิปรายหรืออย่างไร

หรืออีกประโยคที่เจ้าตัวกล่าวเอาไว้…

“…เรื่องจริงคือรัฐบาลจะอยู่ครบวาระ 4 ปีแน่นอน เพราะมีอีกหลายปัญหาให้รัฐบาลแก้ เพื่อนำพาประเทศชาติและประชาชนออกจากวิกฤต สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน คือการที่ฝ่ายค้านเดินหน้าอภิปรายตรวจสอบรัฐบาลด้วยข้อมูลที่เป็นความจริง ลดการประดิษฐ์วาทกรรม เสียดสี ด้อยค่า ใช้เวลาทุกนาทีให้เกิดประโยชน์ ดีกว่าโวยวายกวนน้ำให้ขุ่น ไม่เกิดประโยชน์

จะว่าไปแล้ว หากฝ่ายค้านพาดพิงถึงบุคคลภายนอกจนได้รับความเสียหาย ก็ย่อมจะต้องรับผิดชอบในทางข้อกฎหมายต่อคำพูดของตัวเอง มันเป็นข้อเท็จจริง…ทุกฝ่ายเข้าใจได้!

ก็เหมือนเช่นที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกฯ ฐานะ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พูดถึงเรื่องนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า…

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ สั่งให้แก้ญัตติของฝ่ายค้าน เนื่องจากตามข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 176 บอกว่าญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีข้อบกพร่อง ให้แจ้งให้ฝ่ายค้านทราบ ซึ่งเข้าใจได้ว่าให้ไปแก้ไข ที่เป็นปัญหา คือ การระบุชื่อบุคคลภายนอก ตามข้อบังคับเขียนห้ามไว้ในเรื่องการอภิปราย ห้ามอภิปรายถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น

การกล่าวถึงบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่สมาชิกสภาผู้แทนหรือรัฐมนตรี หากขณะนั้นมีการถ่ายทอดเสียงไปยังภายนอก หากเป็นความผิดทั้งทางอาญาและหรือทางแพ่ง ผู้กล่าวไม่ได้รับเอกสิทธิ ต้องรับผิดชอบ อาจถูกฟ้องร้องได้ นอกจากนั้น บุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหาย อาจร้องขอให้ประธานสภาฯ ลงคำชี้แจงให้ได้อีกด้วย เข้าใจว่าประธานสภาฯ อาจพิจารณาว่าญัตติมีข้อบกพร่องและจะมีปัญหาตรงนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาตามมาในการอภิปราย ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ตัดปัญหาการประท้วงกันวุ่นวาย ทำให้การอภิปรายเดินไปได้ยากลำบาก

คำพูดข้างต้น…ล้วนอยู่บนหลักการและเหตุผล ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นกัน

แน่นอนว่า…เรื่องนี้ ฝ่ายค้านเอง ก็มีเหตุผลที่จะระบุ “ชื่อบุคคลภายนอก” ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ฟังเสียงของ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ล่าสุด ก็มีเหตุผลให้ต้องรับฟัง…

เป็นสิทธิ์โดยชอบตามรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายค้านสามารถตั้งญัตติได้ และสภาเองไม่ได้มีอำนาจที่จะเข้ามาแทรกแซงให้มีการแก้ไขญัตติ แต่ถ้ามีญัตติบกพร่อง คือมีคำผิดไม่ตรงตามรัฐธรรมนูญ ถึงจะต้องมีการแก้ไข แต่ว่าเรื่องเนื้อหาไม่ได้มี ไม่มีข้อกฎหมายอะไรที่ให้เราแก้ไขได้

น.ส.ศริกัญญา ย้ำว่า จริงๆ แล้วในข้อบังคับเขียนเพียงแค่ว่า ห้ามพูดถึงคนนอกโดยไม่จำเป็น ซึ่งถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์ การบริหารราชการของนายกฯ ก็ต้องพูด

“ส่วนผลที่ตามมา คืออาจจะถูกบุคคลที่ 3 ฟ้องร้องได้ เรื่องนี้เราก็เคยผ่านมาแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้น ถ้าเราพูดอะไรไปที่ไม่ใช่เรื่องจริง หรือว่ากระทบกระเทือนชื่อเสียงของบุคคลดังกล่าว เขาก็จะฟ้องร้อง เป็นกลไกตามปกติ เราก็เข้าใจ ทราบดีว่าไม่มีเอกสิทธิ์ที่จะคุ้มครองในการพูดถึงบุคคลที่สาม…”

“เราจะมีหนังสือยืนยันกลับไปว่า “เราไม่แก้!!!”…”

นั่นคือคำยืนยันจากฝ่านค้าน.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password