จากคำชม สู่แผนเชิงรุก! ‘คณะทำงานจีน-ไทย’ สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ – บีบเพื่อนบ้านต้องร่วม!!!

ระดับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ชาติ มหาอำนาจทางการทหาร ระดับ 2 และใกล้จะก้าวสู่ความเป็น มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อันดับหนึ่งของโลก เอ่ยปากชม! แผนการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมาของรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ตั้งแต่…ไล่ตัดกระแสไฟฟ้า ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต และสั่งห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จ เพื่อป้องกันมิให้ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ได้นำไปใช้กับเครื่องปั่นไฟ เพื่อหล่อเลี้ยงธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านั้น
คำชมข้างต้น…ย่อมเป็นความภาคภูมิใจของ ผู้นำประเทศเล็กๆ เช่น ไทย อย่างช่วยไม่ได้
ก็อย่างที่หลายฝ่ายวิเคราะห์และคาดการณ์กันไว้ ลำพังแค่…ทางการจีน ไทย และเมียนมา เข้าไปจัดการปัญหาดังกล่าว ก็อาจไม่สะเด็ดน้ำ หากไม่ดึงเอา ทางการลาวและกัมพูชา ซึ่งก็เป็นอีกฐานการทำงานของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่อยู่รายรอบประเทศไทย และสร้างความเดือดร้อนให้กับคนทั่วโลก ได้เข้ามาอยู่ร่วมในสมการนี้
ปฏิกิริยาของ รัฐบาลลาวต่อการจำกัดการขายกระแสไฟฟ้าให้กับเมียนมา จึงปรากฏออกมาให้เห็นก่อนหน้า เช่นเดียวกับการที่ ทางการกัมพูชา เอง ก็ตื่นตัวต่อแรงกดดันจากทางการจีนและไทย ซึ่ง อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร “คุณพ่อของนายกฯแพทองธาร” เคยพูดเองถึงเรื่องตึก 25 ชั้นในเมืองปอยเปต ต้นเหตุของปัญหาในฝั่งกัมพูชา ถึงขั้นจะเสนอให้ “ถอนสัญชาติไทย” กับเจ้าของตึกที่ว่านี้
ปัญหาในฝั่งประเทศกัมพูชานั้น ได้รับการยืนยันจาก คนระดับ “แม่ทัพภาคที่ 1” เช่น พล.ท.อมฤต บุญสุยา ที่ออกมาให้สัมภาษณ์นักข่าวเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่า…ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการลักลอบนำเข้ายาเสพติด ในพื้นที่ประเทศเมียนมา ก็ไม่ต่างจากฝั่งประเทศกัมพูชา มากนัก
2 ประเทศเพื่อนบ้านทางฝั่ง 2-5 นาฬิกาของไทย จึงนิ่งนอนใจกันไม่ได้แล้วในยามนี้…
หากยังจำกันได้ เมื่อคราวที่ น.ส.แพทองธาร เข้าพบ นายสี จิ้นผิง ก็เป็นตัวเขาที่ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ ลองย้อนไปฟังกันดูอีกสักรอบ…
“จีนพร้อมสนับสนุนอย่างเข้มแข็ง ในการปราบปรามขบวนการหลอกลวงออนไลน์ (Online Scam) การลักพาตัว การค้ามนุษย์ ซึ่งถือเป็นการบั่นทอนผลประโยชน์ของประชาชนจีนเช่นกัน ซึ่งเป้าหมายหลักของทั้งสองชาติ คือ การปราบปรามธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ซึ่งผ่านมาจีนได้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและท้องถิ่น กระทั่ง สามารถปราบปรามยาเสพติดจนประสบความสำเร็จ โดย อาชญากรรมข้ามชาติ ถือเป็นความท้าทาย มีความเสี่ยงสูง และ จีนขอชื่นชมรัฐบาลไทยที่พยายามอย่างเต็มที่และเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการตัดน้ำ ไฟ อินเทอร์เน็ตและน้ำมัน ที่จะสามารถตัดวงจรกิจกรรมที่เป็นอาชญากรรมต่างๆ ได้ เชื่อว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามของไทย จะดูแลความปลอดภัยและผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ ด้วยการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายทั้งในระดับทวิภาคีและอนุภูมิภาค”
การยกระดับการบังคับใช้กฎหมายทั้งในระดับทวิภาคีและอนุภูมิภาค นั่นก็คือ…กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ซึ่ง 5 ใน 6 ประเทศสมาชิก ล้วนเกี่ยวพันและได้รับผลกระทบโดยตรง จากน้ำมือของ ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นั่นคือ จีน ไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา (อีกชาติคือ เวียดนาม)
นายกฯแพทองธาร บอกกับนักข่าวในวันที่เดินทางกลับถึงเมืองไทย ถึงเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า…“อันนี้ดีมาก ทางจีนสนับสนุนในเรื่องที่เราทำ โดย ประธานาธิบดีจีนเอ่ยชมเรื่องนี้และเห็นว่าประเทศไทยทำอย่างนั้นอย่างนี้เป็นการตัดสินใจเด็ดขาด เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม”
และนั่น จึงนำไปสู่แผนการทำงานร่วมกันในขั้นต่อไป…
“เรื่องนี้ทางจีนบอกว่า เราต้องทำงานร่วมกัน โดยในส่วนของจีนเอง ฝั่งเขาจะทำงานเรื่องนี้เข้มข้นเช่นกัน เพราะเป็นเรื่องที่กระทบทั่วโลก โดยในรายละเอียด เราจะตั้งคณะทำงานที่ทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ ร่วมกันระหว่างไทย-จีน หากมีอะไรเพิ่มเติมจะคุยกันผ่านคณะทำงานนี้” ผู้นำไทย ระบุ
ส่วน ปัญหาผลกระทบต่อประชาชนในประเทศเพื่อนบ้าน กระทั่ง มีการชุมนุมและเดินขบวนประท้วงทางการไทย กรณีสั่งตัดไฟฟ้า สัญญาณอินเตอร์ และสั่งห้ามส่งออกน้ำมันไปยังประเทศเมียนมานั้น เรื่องนี้…น.ส.แพทองธาร ตอบว่า…การทำสิ่งเหล่านี้เป็นการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและป้องกันเรื่องภัยอันตราย ส่วนเรื่องการประท้วงทางฝั่งเมียนมา ตนทราบแล้ว แต่อย่างที่บอกเราต้องดูแลคนของเราก่อน เพราะดิฉันเป็นนายกฯของประเทศไทย คิดว่าทางนั้นก็ต้องดูแลประชาชนของตัวเอง ทุกประเทศต้องดูแลคนของตัวเอง
แม้ทางฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน พยายามจะ “จุดกระแส” ต่อต้านการซื้อสินค้าจากไทย แต่ก็เชื่อว่าสิ่งนี้…ไม่น่าจะกระทบต่อฝั่งไทยมากนัก อย่างไรก็ดี นายกฯแพทองธาร ก็ย้ำว่า…“เรื่องนี้ต้องรอระหว่างรัฐบาลและรัฐบาลคุยกันในรายละเอียด”
ชัดเจนว่า…เรื่องนี้ รัฐบาลจีน และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะไม่วางมือกันง่ายๆ แน่! และดูเหมือนเป็นเพียงไม่กี่เรื่องที่ รัฐบาลและสื่อตะวันตก…จะนิ่งเฉยต่อแผนปฏิบัติการในช่วงที่ผ่านมาและในอนาคต ขอเพียง…ไม่ละเมิดหรือขัดกับหลักการของโลก โดยเฉพาะ…หลักสิทธิมนุษยชน!!!
จากนี้…โลกและหลายชาติในกลุ่มอาเซียน คงจะได้เห็น แผนปฏิบัติการเชิงรุก! ที่มี…รัฐบาลจีนเป็น “ผู้นำ” โดยเฉพาะการจัดตั้ง “คณะทำงาน” ร่วมกันระหว่างไทย-จีน สิ่งนี้…ก็น่าจะเป็นแผนเชิงรุกต่อเนื่อง เพื่อหยุดยั้ง…แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์ ขบวนการขนยาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมายอื่นๆ กันอย่างเข้นข้น
ก็อย่างที่ นายกฯแพทองธาร ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวนั่นแหละ…“…เราต้องดูแลคนของเราก่อน เพราะดิฉันเป็นนายกฯของประเทศไทย คิดว่าทางนั้นก็ต้องดูแลประชาชนของตัวเอง ทุกประเทศต้องดูแลคนของตัวเอง”.