‘กิตติรัตน์’ ย้ำจุดยืนเดิม ธปท. ต้องลดดอกเบี้ย ชี้ ขึ้นVAT15% ทำได้ยาก
“กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ชี้แม้ถูกเสนอชื่อนั่ง ปธ.บอร์ด ธปท. แต่ย้ำจุดยืนเดิมต้องลดดอกเบี้ย “เร็ว-แรง” ขึ้นภาษี VAT 15% เป็นไปได้ยาก ระวังกระทบความนิยมรัฐบาล
วันที่ 20 ธ.ค.2567 นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะผู้ถูกเสนอชื่อเป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อ18 ธ.ค. ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ต่อปี โดยระบุว่า เคารพการตัดสินใจของ กนง.ที่มีเป็นเอกมติเอกฉันท์ อย่างไรก็ตาม อยากให้ กนง. อธิบายถึงเหตุผลในการตัดสินใจดังกล่าวให้ละเอียดมากขึ้น เนื่องจากรายงานที่ กนง.แถลงนั้นสั้นเกินไป ซึ่งการอธิบายจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกคนได้
ขณะเดียวกัน ยังมองว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทต่างๆ ที่อยู่ในระบบน่าจะลดลงกว่านี้ได้บ้าง ทั้งดอกเบี้ยสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ และ สินเชื่ออื่นๆ ซึ่งหากดอกเบี้ยสินเชื่อลดลงจะเป็นภาวะที่เบาลงสำหรับผู้ที่มีหนี้ และการที่ดอกเบี้ยลดลง จะนำไปสู่การที่ผู้มีหนี้สามารถชำระเงินต้นได้ดีขึ้น หนี้เสียหรือ NPL จะไม่ลุกลาม
“เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. ผมโพสต์ Facbook ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยให้เร็วและมาก คือ ทางป้องกันหายนะ และความเชื่อในเรื่องนั้นก็ยังคงเป็นอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นคนที่ถูกเสนอชื่อให้ไปทำหน้าที่ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ จุดยืนผมยังเป็นเหมือนเดิม” นายกิตติรัตน์ กล่าว
ขณะที่ประเด็นเรื่องถูกเสนอชื่อเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ได้รับทราบจากสื่อมวลชนว่าถูกเสนอชื่อเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งขณะนี้ตนอยู่ในฐานะผู้ที่ยอมรับการเสนอชื่อ และยอมรับให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ดังนั้น ขั้นตอนที่จะมีการพิจารณาอย่างไร เมื่อใด อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของตน
สำหรับความกังวลว่าจะมีการแทรกแซงการทำงานของนโยบายการเงินนั้น นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ด้วยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่มีอำนาจในการสั่งการทำงานของคณะกรรมการ รวมทั้งระดับผู้บริหารของ ธปท. ซึ่งหากจะมีการแทรกแซง คงเป็นการแทรกแซงทางความคิด
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่พูดถึงการปฏิรูปโครงสร้างภาษีว่า ภาษีเป็นทั้งแหล่งรายได้รัฐ และเป็นภาระกับผู้จ่าย ดังนั้นการทบทวนโครงสร้างภาษีอยู่เสมอ เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ ทั้งนี้ การทบทวนโดยเฉพาะหากมีการปรับโครงสร้าง ควรทำแบบลับจนกระทั่งเกิดความมั่นใจถึงจะประกาศ เนื่องจากหากมีข่าวออกมาก่อนอาจเกิดการกักตุนสินค้า และเก็งกำไรสินค้าได้
ขณะที่การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นอัตรา 15% มองว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะประเทศไทยมีกฎหมายเก็บภาษี VAT ที่อัตรา 10% แต่มีการเก็บจริง 7% ดังนั้นอย่างมาก สามารถปรับขึ้นภาษีได้เพียง 10% เท่านั้น
“การปรับภาษีเหล่านี้เป็นความรู้สึกของประชาชน หากจ่ายแล้วรู้ว่าเงินนั้นจะถูกเอาไปทำอะไร แล้วให้ความร่วมมือก็เป็นเรื่องดี แต่หากไม่ชอบใจ ความนิยมทางการเมืองก็จะตก ทั้งนี้ มองว่าการสื่อสารกับประชาชนอย่างละเอียดเป็นเรื่องที่ดี” นายกิตติรัตน์ ระบุ.