พาณิชย์เปิดเวทีหนุน SME ไทย หันใช้กรอบ FTA ลดความเสี่ยงส่งออกยุค ‘ทรัมป์  2.0’

“อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ” เปิดเวทีถกภาคเอกชน ชูประเด็นโอกาสและความท้าทายจากสถานการณ์ทางการค้า ยุค “ทรัมป์ 2.0” ชี้ FTA ทางรอดธุรกิจไทยในการส่งออก เน้นกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่และตลาดที่ไทยมี FTA ย้ำความสำคัญการผลิตสินค้าที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก ประกาศลุยเดินสาย 10 จังหวัดให้ความรู้ SME ไทยใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ณ โรงแรม อวานี สุขุมวิท กรุงเทพฯ, นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเปิดงานสัมมนาภายใต้ โครงการส่งเสริม SME ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล เรื่อง “FTA ขยายธุรกิจ  พิชิตส่งออก” โดยเชิญภาคเอกชนมาร่วมถกประเด็นร้อน โอกาสและความท้าทายจากสถานการณ์ทางการค้าโลก ในยุค “ทรัมป์ 2.0” โดยย้ำว่า กรมฯเห็นว่า FTA จะเป็นทางรอดธุรกิจไทยในการส่งออก โดยจะช่วยกระจายความเสี่ยงการส่งออกไปยังตลาดใหม่และตลาดที่ไทยมี FTA ซึ่งผู้ส่งออกไทยจะมีแต้มต่อด้านภาษี พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการผลิตสินค้าโดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local content) ให้ได้ถิ่นกำเนิดไทยตามกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการถูกเพ่งเล็งว่าเป็นสินค้าที่ปลอมแปลงหรือแอบอ้างถิ่นกำเนิดจากประเทศที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าแบบแข็งกร้าว

โดยคาดการณ์แนวโน้มการใช้สิทธิ FTA ในปี 2568 ว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการส่งออกผ่านการใช้สิทธิ FTA และสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก FTA ที่จะเป็นแต้มต่อให้กับสินค้าไทยในการรักษาตลาดและขยายตลาดได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภาวการณ์แข่งขันของการค้าระหว่างประเทศที่มีความเข้มข้น คาดว่าตลาดอาเซียนยังจะเป็นอันดับหนึ่ง และสิ่งที่น่าจับตามองในปี 2568 ของตลาดอาเซียน คือ การส่งออกไปยังเวียดนามที่มีสถิติการใช้สิทธิฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ในขณะที่ตลาดสำคัญอื่น เช่น จีน จากข้อมูลสถิติช่วงเดือนมกราคม – กันยายน 2567 พบว่า ทุเรียนสดยังเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุด และมีแนวโน้มที่จะยังคงครองตลาดในจีนอย่างต่อเนื่องในปี 2568

นอกจาก กรมการค้าต่างประเทศ จะเป็นหน่วยงานที่ร่วมเจรจาด้านกฎถิ่นกำเนิดสินค้าให้เหมาะกับรูปแบบการผลิตสินค้าของไทยแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ของความตกลง FTA โดยดูแลการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่จะใช้ประกอบการลดหรือยกเว้นภาษีขาเข้าจากประเทศคู่ภาคี โดยปัจจุบันเป็นการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการสูงสุด

ขณะนี้ กรมฯ อยู่ระหว่างเตรียมการออกกฎระเบียบและจัดทำระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับการใช้บังคับความตกลง ทั้งความตกลงที่มีอยู่เดิม เช่น อาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ที่เพิ่มรูปแบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง และไทย – ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่ให้มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e – CO ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 และความตกลงฉบับใหม่ล่าสุด ได้แก่ FTA ไทย – ศรีลังกา (SLTFTA) ที่คาดว่าจะใช้บังคับในวันที่ 1 มีนาคม 2568” นางอารดา กล่าว

นอกจากนี้ กรมการค้าต่างประเทศให้ความสำคัญกับการเร่งผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจาก FTA อย่างเต็มที่ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) เปิดแผนลุยจัดสัมมนาต่อเนื่องทั้งปี 2568 เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการไทยทั่วประเทศรวม 10 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา ลำพูน หนองคาย นครพนม นครราชสีมา กาญจนบุรี บุรีรัมย์ และสงขลา  โดยครั้งถัดไปเดือนมกราคม 2568 ปักหมุด ณ จังหวัดระยอง ซึ่งการจัดสัมมนาทั้งหมดนี้ เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME ให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ลดภาษีนำเข้า เพิ่มผลกำไร และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีทักษะและศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจเพื่อขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ   

อย่างไรก็ตาม กรมฯขอให้ภาคเอกชนติดตามความรู้ดี ๆ กับสิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA กับงานสัมมนาในปี 2568 ได้ทางเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th รวมทั้งสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองสิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ โทร. 081 701 4654 หรือ สายด่วน 1385.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password