‘อดีต กกต.’ สะกิด พท. เตรียมรับมือ ‘คดีล้มล้างสถาบันฯ’ งานนี้เดินเกมเร็วแน่! ชี้ถึงขั้นยุบพรรค!

ตามมานัด! “มือร้อง” ยุบพรรคก้าวไกล “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” สานต่อเจตนารมณ์เดิม? เดินหน้ายุบพรรคเพื่อไทย ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ “ทักษิณ ชินวัตร” เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ พร้อมงัด 6 พฤติกรรมที่เข้าข่าย “เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ”

ด้าน “สมชัย ศรีสุทธิยากร” เตือนแรง! พรรคเพื่อไทยอย่าชะล่าใจ เชื่อเรื่องนี้เดินเร็ว เหตุเกี่ยวพันสถาบันฯ ชี้! หากศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาจะมีคำสั่งตามมาให้หยุดดำเนินการ จากนั้น จะมีกระบวนการ “รับลูกต่อ” ทำจนยุบพรรคฯ

อาถรรพณ์ “ตุลาคม!” ที่เคยเกิดเรื่องราวร้ายๆ ตลอดทั้งเดือนในรอบหลายปีที่ผ่านมา ทว่ารอบนี้ ปรากฏการณ์ 7 -10 -10 หรือการถอดความว่า…ในเวลา 7 นาฬิกาของวันที่ 10 เดือน 10 ซึ่ง นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้ใช้รหัสแห่งปรากฏการณ์นี้ ทำการส่งข้อมูลถึงสื่อมวลชนเพื่อให้ติดตามทำข่าว กรณี นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความพระพุทธะอิสระ ที่จะเข้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในเวลา 10.30 น. ของวันดังกล่าว เพื่อขอให้วินิจฉัยสั่งให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49

นายธีรยุทธ ที่เคยสร้างชื่อในการยื่นเรื่องทำนองเดียวกัน จนทำให้พรรคก้าวไกลถูกยุบฯในเวลาต่อมา ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ตามเวลานัดหมายที่นายไพบูลย์บอกกับสื่อมวลชน โดยย้ำว่า ก่อนหน้านี้ (24 กันยายน 2567) ตนได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด (อสส.) แต่เมื่อครบกำหนด 15 วันในวันที่ 9 ตุลาคม แต่ทางอัยการสูงสุดไม่ได้ดำเนินการส่งคำร้องมาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ในฐานะประชาชน ตนจึงขอใช้สิทธิมายื่นคำร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายทักษิณ มี 6 พฤติการณ์ที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ดังนี้…

1.หลังนายทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษให้เหลือโทษจำคุก 1 ปี พบว่า นายทักษิณใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการสั่งรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ไม่ต้องรับโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว โดยไปพักอยู่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ

2.นายทักษิณมีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกฯ ของประเทศกัมพูชา และควบคุมการบริหารของรัฐบาลผ่านพรรคเพื่อไทย โดยการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเล ในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทยกัมพูชาในลักษณะเอื้อประโยชน์ ให้กับทางกัมพูชาทั้งที่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นอธิปไตยของประเทศไทย

3.นายทักษิณสั่งให้พรรคเพื่อไทย ร่วมมือกับพรรคประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ

4.นายทักษิณมีพฤติกรรมเป็นเจ้าของ ครอบครอง ครอบงำ เป็นผู้สั่งการแทนพรรคเพื่อไทยในการเจรจากับพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล เพื่อเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกฯ คนใหม่เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่บ้านพักจันทร์ส่องหล้า หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลง

5.นายทักษิณมีพฤติกรรมเป็นเจ้าของ ครอบงำ และสั่งการให้พรรคเพื่อไทยมีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทยยินยอมตามที่สั่ง

และ 6.นายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นผู้ครอบงำและสั่งการให้พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนำนโยบายที่นายทักษิณได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567  ไปเป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาในวันที่ 12 กันยายน 2567

โดยทั้ง 6 พฤติการณ์ดังกล่าว ตนเห็นว่า เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ชำรุดทรุดโทรมเสื่อมทรามหรืออ่อนแอลง ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้ในหลายคำวินิจฉัย อาทิ คำวินิจฉัยสั่งให้พรรคก้าวไกลยุติการกระทำและยุบพรรคก้าวไกล ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุความเสียหายร้ายแรงกับสถาบันพระมหากษัตริย์หรือทำให้เรื่องดังกล่าวลุกลามขยายใหญ่ จนเป็นมหันตภัยที่ไม่อาจต้านทานได้

จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสองรวม 8 ข้อ คือ ให้นายทักษิณ เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เลิกเป็นเจ้าของครอบครอง ครอบงำ หรือสั่งการดำเนินการของพรรคเพื่อไทย เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการบริหารราชการแผ่นดิน เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ และให้พรรคเพื่อไทยเลิกยินยอมให้นายทักษิณใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำเหล่านี้

ทั้งนี้ เขาปฏิเสธถึงการยื่นคำร้องในครั้งนี้ว่า ไม่ได้มีใครสั่งการหรือรับงานใคร แต่ยอมรับว่าได้ไปขอคำปรึกษาจากนายไพบูลย์ นิติตะวัน มาก่อน สำหรับยื่นคำร้องของนายธีรยุทธ ประกอบด้วยคำร้องรวม 65 หน้า เอกสารประกอบคำร้องอีก 443 แผ่น รวมคำร้อง เอกสารประกอบชุดละ 508 แผ่น ทำสำเนารวม 10 ชุด รวมเป็นเอกสาร 5,080 แผ่น

ด้าน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า “อย่ามองคำร้องของนายธีรยุทธ์ว่าไม่มีน้ำหนัก เพราะผลงานการร้องในอดีตนั้น รัดกุมด้วยข้อกฎหมายและผูกโยงพยานหลักฐานจนเป็นเรื่องได้ทุกครั้ง” เขาระบุอีกว่า “จริงๆ ไม่มีความจำเป็นต้องเปิดตัวด้วยการเขี่ยลูกของไพบูลย์ ให้รอการแถลงข่าวในวันนี้ เพราะลำพังธีรยุทธ์ ก็มีแสงในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งแสงจากไพบูลย์หรือพลังประชารัฐ” ก่อนจะย้ำว่า “ความหมายที่สื่อได้ในเรื่องนี้ คือ ความร่วมมือกัน และ พลังประชารัฐร่วมเป็นเจ้าภาพ เพื่อตอบโต้จากการเขี่ยออกจากการร่วมรัฐบาล และตามราวีลุงโดยพระเอกบางคน

นายสมชัย ยังได้ให้สัมภาษณ์สื่อสำนักหนึ่งในเวลาต่อมา ตอนหนึ่งระบุว่า พรรคเพื่อไทยอย่าชะล่าใจ จากนี้ให้เตรียมข้อมูลเพื่อชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาและใช้เวลาในการดำเนินการอย่างรวดเร็วเพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน จำเป็นจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อเป็นการยับยั้งไม่ให้เกิดการกระทำที่เกินเลยไปกว่านี้ และนำไปสู่คำสั่งให้หยุดการกระทำ โดยหลังจากนั้น ก็จะมีกระบวนนำคำสั่งดังกล่าวไปขยายผล เหมือนกับที่ทำสำเร็จในคดียุบพรรคก้าวไกลก่อนหน้านี้.  

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password