คลังเข้มสกัด 5 จุดเสี่ยงลอบขนบุหรี่เข้าไทย – รับลูกนายกฯสร้างโรงเรียนปลอดควัน

“เผ่าภูมิ” กำชับสรรพสามิตรายภาค เข้ม! สกัดสินค้าหนีภาษีและผิดกฎหมาย เร่งให้เข้าเป้า Zero Tolerance โฟกัสภาค 7 เหตุมีปมลักลอบนำ “บุหรี่เพื่อการส่งออก” จากเมียนมากลับมาขายในไทยมากสุด กำชับ 5 จุดเสี่ยง 3ด่านเมืองกาญจน์ 1 ด่านประจวบฯ พ่วง 1 ช่องทางออนไลน์สำหรับบุหรี่ต่างประเทศ เผย! กระทรวงการคลังพร้อมรับนโยบายรัฐบาล มุ่งปราบบุหรี่ ร่วมสร้างโรงเรียนปลอดควันช่วงเปิดเทอมนี้ 

วันนี้ (14 พ.ค.2568) ณ สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 7 จ.นครปฐม, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ลงพื้นที่เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 7 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ในสังกัด ภายใต้ นโยบาย Zero Tolerance : สินค้าหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตต้องเป็นศูนย์” ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญที่มุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย 

รมช.คลัง เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้  มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนแนวทางการปฏิบัติงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเร่งรัดปราบปรามบุหรี่เถื่อน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีการหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตอย่างแพร่หลาย ผ่านการลักลอบนำเข้ามาตามแนวชายแดนและนำมาจำหน่ายในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 7 ได้รับรายงานว่ามีขบวนการลักลอบนำเข้าบุหรี่จากพื้นที่ชายแดนอำเภอสังขละบุรี ผ่านช่องทางธรรมชาติในลักษณะที่เรียกว่ากองทัพมด ซึ่งเป็นการลำเลียงนำสินค้าเข้ามาในปริมาณน้อยแต่ทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่จากการสืบสวนและเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดของกลางบุหรี่ที่มิชอบด้วยกฎหมายได้ จำนวนทั้งสิ้น 35,250 ซอง แบ่งเป็นบุหรี่ตรากรองทิพย์ 90 (FOR EXPORT ONLY) ซองอ่อน จำนวน 30,000 ซอง, บุหรี่ตรากรองทิพย์ 90 (FOR EXPORT ONLY) ซองแข็ง จำนวน 5,150 ซอง และบุหรี่ต่างประเทศตรา D&J จำนวน 100 ซอง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางภาษีและค่าปรับรวม 4,707,894.48 บาท  

ทั้งนี้ จากข้อมูลและแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ พบว่าเส้นทางการลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อนมีอยู่ 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ 

1.การลักลอบนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศผ่านทางไปรษณีย์จากประเทศเพื่อนบ้าน หรือมีนักท่องเที่ยว ลักลอบนำติดตัวเข้ามาในประเทศเกินกว่าที่กฎหมายอนุญาต 

2.การลักลอบนำเข้าบุหรี่ในประเทศ เช่น กรองทิพย์ 90 (FOR EXPORT ONLY) ผ่านช่องทางธรรมชาติในลักษณะกองทัพมด ซึ่งมีการรวบรวมไว้ในปริมาณมาก ก่อนลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของประเทศ พื่อนำออกจำหน่ายต่อไป 

นายเผ่าภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการดำเนินงานของสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 7 รวมถึงสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ในสังกัด ได้ขับเคลื่อนภารกิจภายใต้นโยบาย Zero Tolerance : สินค้าหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตต้องเป็นศูนย์” อย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นการบูรณาการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานด้านความมั่นคง ด่านศุลกากร รวมถึงบริษัทขนส่งเอกชน เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้กระทำความผิด เส้นทางการลักลอบขนส่งสินค้า เพื่อตัดวงจรการขนส่งสินค้าผิดกฎหมายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นการยกระดับประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดอย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกมิติ    

โดยผลจากการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 – 31 มีนาคม 2568) สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 7 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ ในสังกัดสามารถปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายได้รวมทั้งสิ้น 1,254 คดี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 28.26 คิดเป็นค่าปรับ 51.49 ล้านบาท และประมาณการค่าปรับ 148.06 ล้านบาท ทั้งนี้ คดีที่พบมากที่สุด คือ คดียาสูบ คิดเป็นร้อยละ 57.34 รองลงมาคือคดีสุรา คิดเป็นร้อยละ 32.78 โดยจำแนกเป็น 

1. ยาสูบ จำนวน 719 คดี ค่าปรับ 29.88 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ 142.68 ล้านบาท จำนวนของกลาง แบ่งเป็นยาสูบในประเทศ  75,289 ซอง และยาสูบต่างประเทศ 73,367 ซอง 

2. สุรา จำนวน 411 คดี ค่าปรับ 6.40 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ 777,600.50 บาท จำนวนของกลาง แบ่งเป็นสุราในประเทศ  5,702.810 ลิตร และสุราต่างประเทศ 552.640 ลิตร 

3. น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 12 คดี ค่าปรับ 800,166.00 บาท ประมาณการค่าปรับ 4.58 ล้านบาท จำนวนของกลาง  91,082 ลิตร 

4. รถจักรยานยนต์ จำนวน 34 คดี ค่าปรับ 810,166.00 บาท จำนวนของกลาง 1,286 คัน  

5. ไพ่ จำนวน  35 คดี ค่าปรับ  190,668.00 บาท ประมาณการค่าปรับ 24,804.00 บาท จำนวนของกลาง 893 สำรับ  

6. รถยนต์ จำนวน 7 คดี ค่าปรับ  315,306.11 บาท จำนวนของกลาง 348 คัน  

7. เครื่องหอมและเครื่องสำอาง จำนวน 14 คดี ค่าปรับ 884,373.08 บาท จำนวนของกลาง4,445 ขวด  

8. เครื่องดื่ม จำนวน 15 คดี ค่าปรับ 119,675.50 บาท จำนวนของกลาง 2,077.04  ลิตร 

9. แบตเตอรี่ จำนวน 7 คดี ค่าปรับ 12,101,174.23 บาท จำนวนของกลาง 36,716 ก้อน 

ขอให้กรมสรรพสามิตและหน่วยงานในสังกัดเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย Zero Tolerance” อย่างต่อเนื่องและเข้มข้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี คุ้มครองผู้บริโภค และส่งเสริมผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง พร้อมยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนทั่วประเทศ และในโอกาสนี้ ขอขอบคุณสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 7 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ในสังกัด ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมือ ร่วมกันสนับสนุนภารกิจในการป้องกันและปราบปรามสินค้าหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมต่อไป” นายเผ่าภูมิ กล่าว 

นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ยังกำชับให้สรรพสามิตรพื้นที่ภาค 7 มุ่งเน้นป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าบุหรี่เพื่อการส่งออกและบุหรี่ต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศ ในพื้นที่เสี่ยงรวม 5 จุด ที่มีด่านชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้ 

1.พื้นที่ จ.กาญจนบุรี ที่มีแนวชายแดนด้านทิศตะวันตก ติดกับประเทศเนียนมาร์ มีช่องทางเข้าออกตามแนวชายแดนหลายจุด ได้แก่ 1.1 ด่านบ้านพุน้ำร้อน (ด่านถาวร) ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมือง และมีจุดนำเข้าก๊าซธรรมชาติ   1.2 ด่านบ้านอิต่อง ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ และ 1.3 ด่านพระเจดีย์สามองค์ (จุดผ่อนปรนทางการค้าชั่วคราว) อำเภอสังขละ และช่องทางบ้านต้นยาง อำเภอสังขละบุรี (เฉพาะโค – กระบือมีชีวิต) 

2.พื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ บริเวรด่านพรมแดนสิงขร ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง  

และ 3.ช่องทางออนไลน์ ซึ่งช่องทางนี้สินค้าจะส่งมาทางภาคใต้เป็นส่วนใหญ่จะเป็นบุหรี่ยี่ห้อ Vess  จะส่งมาทางขนส่งทุกบริษัทขนส่ง โดยบุหรี่ที่ลักลอบนำเข้ามาส่วนมากเป็นบุหรี่ ยี่ห้อ vess ยี่ห้อ texus ยี่ห้อ กรองทิพย์90 For Export Only ถ้าเป็นการนำเข้ามาทางด่าน หรือช่องทางธรรมชาติจะนำมารวบรวมไว้เป็นจำนวนมากแล้วขนมาเก็บไว้ในพื้นที่หรือที่จัดกักตุนบุหรี่ และมีบางส่วนที่นักท่องเที่ยวซื้อมาเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด 

สำหรับช่องทางออนไลน์ ส่วนใหญ่จะเป็นการลักลอบนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงการคลังได้เพิ่มเครื่องเอ็กซเรย์ เพื่อใช้ในการตรวจสอบบุหรี่หนีภาษี โดยได้กระจายไปยังจุดต่างๆ อย่างต่อเนื่องรมช.คลัง ระบุ 

ส่วนกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีข้อกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในช่วงของการเปิดภาคเรียนนี้ โดยได้มีข้อสั่งการให้หน่วยที่เกี่ยวข้อง เร่งประสานไปยังโรงเรียนต่างๆ เพื่อสร้าง “สังคมปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า” ซึ่งในส่วนของบุหรี่ ตนได้กำชับให้กรมสรรพสามิตดำเนินการป้องกันและปราบปรามมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนกรณีบุหรี่ไฟฟ้าเนื่องจากไม่ได้อยู่ในพิกัดอัตราภาษีของกรมสรรพสามิต ดังนั้น จึงได้ประสานหน่วยงานปราบปรามที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจับกุม กรณีที่พบว่ามีการลับลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าไปกับบุหรี่หนีภาษีทั่วไป ส่วนอนาคตจะมีการพิจารณานำบุหรี่ไฟฟ้าเข้าในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่การพิจารณาของหลายภาคส่วน โดยเฉพาะหน่วยงานด้านสาธารณสุข แต่ในระหว่างนี้ คงต้องบูรณาการในการป้องกันและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าร่วมกับหน่วยงานปราบปรามอื่นๆ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจและอื่นๆ ไปก่อน เพื่อให้โรงเรียนปลอดจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงป้องกันมิให้เด็กและเยาวชนไทย ตกเป็นเหยื่อของจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าตามข้อห่วงใยนายกรัฐมนตรี.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password