กรมพัฒนาธุรกิจฯชงข้อมูลลึก จับยก ‘3 แก๊ง Call Center’ – ผุด 7 มาตรการสกัดนำบริษัทจดทะเบียนหลอกคนไทย
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โชว์ผลงานเด่น! ชงข้อมูลเชิงลึก เชื่อมโยงจับกุม “3 แก๊ง Call Center” สวมตอ “นิติบุคคล” และใช้เบอร์โทร 02 หลอกลวงประชาชน เผย! คลอด 7 มาตรการป้องปรามการจดทะเบียนบริษัทที่อาจนำไปสู่กระทำความผิดทางกฎหมาย ทั้งเปิด “บัญชีม้า” และสร้าง “นอมีนีธุรกิจ” ปิดช่องทาง สกัดมิให้มิจฉาชีพหลอกลวงได้อีก เน้นสร้างความเข้าใจทำธุรกิจถูกต้อง แนะนักลงทุนตรวจสอบข้อมูลตัวตนของนิติบุคคลก่อนร่วมทุน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ตนได้มอบหมายให้ ม.ล.ภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เข้าร่วมการแถลงข่าวผลการจับกุมผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งมีหน่วยงานที่เข้าร่วมแถลงข่าว 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบังคับการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้ การจับกุมผู้กระทำความผิดในครั้งนี้ กรมฯ ได้มีบทบาทในการเชื่อมโยงและให้ข้อมูลนิติบุคคลในเชิงลึกแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวน โดย กสทช.ได้ตรวจพบความผิดปกติของการใช้งานกลุ่มหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02 นับหมื่นเลขหมาย และมีการใช้งานที่ผิดปกติ ทั้งนี้ ช่วงเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ตำรวจได้เข้าสอบปากคำเจ้าหน้าที่ของกรมฯ จากการพบความผิดปกติของการดำเนินธุรกิจในนิติบุคคล 3 ราย ซึ่งประกอบธุรกิจประเภท จัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ ให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการ และให้คำปรึกษาด้านซอฟต์แวร์ โดยได้ดำเนินธุรกิจลักษณะ อุปกรณ์ตู้สาขาแบบ SIP Server (ระบบโทรศัพท์ Call Center) ต่อมาตำรวจได้สืบสวนพบว่า นิติบุคคลทั้ง 3 รายนี้ ได้กระทำผิดด้วยการนำชุดหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02 ใช้โทรหลอกลวงผู้เสียหายหรือการกระทำผิดในรูปแบบแก๊งค์ Call Center ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมกับได้ติดตามจับกุมผู้กระทำผิดซึ่งเป็นที่มาของการแถลงข่าวในวันดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม การจับกุมผู้กระทำผิดในครั้งนี้ ได้ตอกย้ำถึงความร่วมมืออันดีและสอดประสานกันระหว่างหน่วยงานราชการที่ร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้ภารกิจและอำนาจของแต่ละหน่วยงาน โอกาสนี้กรมฯ ขอชื่นชมหน่วยงานของตำรวจที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดความเสียหายที่อาจเกิดกับทรัพย์สินของประชาชนไทย รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศด้วยที่มิจฉาชีพได้ใช้ความน่าเชื่อถือของนิติบุคคลมาเป็นสิ่งลวงตาให้ภาครัฐตรวจสอบการกระทำผิดได้ยากขึ้น
แต่จากการที่กรมฯ ได้จับมือร่วมกันทำงานที่ผ่านมาเป็นเครื่องสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า จากนี้ไปมิจฉาชีพจะใช้การจดทะเบียนธุรกิจเป็นนิติบุคคลมาหลอกลวงประชาชนได้ยากขึ้น เพราะทุกหน่วยงานจะช่วยกันปิดช่องว่าง พร้อมออกมาตรการที่รัดกุมเข้มข้นขึ้น และตรวจสอบในธุรกิจกลุ่มเสี่ยงในเชิงลึก อีกทั้ง ภารกิจนี้ยังเป็นการทำงานที่สอดรับกับหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจบปัญหามิจฉาชีพหรือบัญชีม้านิติบุคคล ซึ่ง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กำชับให้กรมฯ ปฏิบัติงานรับจดทะเบียนอย่างรัดกุมมากที่สุด และป้องกันการฉวยโอกาสจากมิจฉาชีพที่จะใช้ช่องทางนิติบุคคลในการหลอกลวงประชาชน
ทั้งนี้ กรมฯ ได้ออกมาตรการป้องปรามการจดทะเบียนบริษัทที่อาจนำไปสู่กระทำความผิดทางกฎหมายใน 7 ด้าน คือ
1) แลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลนิติบุคคลเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการสืบสวน สอบสวนและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด
2) ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบสถานที่ตั้งนิติบุคคล
3) ลงพื้นที่ตรวจสอบ สืบสวน สอบสวน และจับกุมผู้กระทำความผิด
4) นำเทคโนโลยีมาช่วยวิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมของนิติบุคคลที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจตามกฎหมาย หรือระบบ IBAS : Intelligence Business Analytic System ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ
5) เพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณารับจดทะเบียนนิติบุคคลโดยเฉพาะธุรกิจกลุ่มเสี่ยง
6) กรณีร้านค้าออนไลน์ประชาชนสามารถตรวจสอบความมีตัวตนของร้านได้ผ่านเว็บไซต์ www.trustmarkthai.com
และ 7) สร้างความเข้าใจให้กับผู้ประกอบธุรกิจให้ดำเนินธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงการตรวจสอบความมีตัวตนของนิติบุคคลก่อนทำจะลงทุนใดๆ
“กรมพัฒนาธุรกิจการค้าขอขอบคุณพันธมิตรทุกหน่วยงานที่พร้อมใจประสานความร่วมมือปราบปรามและแก้ปัญหามิจฉาชีพทั้งในรูปแบบของแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ การนำบัญชีนิติบุคคลไปทำเป็นบัญชีม้า หรือการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพรางในการประกอบธุรกิจ (นอมีนี) อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศไทยมีความน่าเชื่อถือในสายตานักลงทุนชาวต่างชาติ ลดความเสียหายที่จะเกิดกับภาคธุรกิจและประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างความโปร่งใสให้กับระบบธุรกิจของประเทศต่อไป” นางอรมน กล่าว.