REIC วิเคราะห์ สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ไตรมาส 2 ปี 2568 และครึ่งแรกปี 2568

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ วิเคราะห์ “สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ไตรมาส 2 ปี 2568 และครึ่งแรกปี 2568” ระบุ! ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ชะลอตัวทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน

(บทความด้านล่าง คือ ฉบับเต็มของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยไม่มีการตัดทอนเนื้อหาและข้อมูลอื่น ๆ แต่อย่างใด)

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำบทวิเคราะห์ เรื่อง “สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ไตรมาส 2 ปี 2568 และครึ่งแรกปี 2568” พบว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ชะลอตัวทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า แต่หาก เทียบรายไตรมาส พบว่า มีการฟื้นตัวบางส่วนจากแรงหนุนของมาตรการรัฐ อาทิ การลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองเหลือประเภท ร้อยละ 0.01 รวมถึงการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ทุกระดับราคา ในเชิงพื้นที่ จังหวัดระยองยังคงโดดเด่น โดยเป็นจังหวัดเดียวที่การโอนกรรมสิทธิ์ขยายตัว สะท้อนแรงขับเคลื่อนจากภาคอุตสาหกรรมและความต้องการแรงงาน ขณะที่ ด้านอุปทานทั้งใบอนุญาตจัดสรรที่ดินและพื้นที่ก่อสร้างโดยรวมปรับตัวลดลงต่อเนื่องโดยเฉพาะ ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่หลักของตลาด อย่างไรก็ตาม จังหวัดระยองยังคงมีการขยายตัวของพื้นที่ก่อสร้างอย่างมีนัยสำคัญ ตอกย้ำบทบาทของจังหวัดในฐานะแหล่งลงทุนและการจ้างงานที่สำคัญของภูมิภาคตะวันออก โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ไตรมาส 2 ปี 2568 พบว่า ด้านอุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยลดลงร้อยละ -7.4 และร้อยละ -8.4 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) การโอนกรรมสิทธิ์ได้รับผลบวกจากแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้แก่ การลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองเหลือประเภทละร้อยละ 0.01 สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2568 เป็นต้นไป ทำให้จำนวนหน่วยและมูลค่าเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2568 ส่วนอุปทานใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน มีจำนวนโครงการลดลงร้อยละ -7.7 และจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ –10.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) สำหรับพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยลดลงร้อยละ -0.3 โดยเป็นการลดลงของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดร้อยละ –23.7 แต่มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างแนวราบเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ครึ่งแรกปี 2568  พบว่า ด้านอุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย มีจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -6.8 และมูลค่าลดลงร้อยละ -8.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 หากพิจารณาแต่ละพื้นที่พบว่า จังหวัดระยองเป็นเพียงจังหวัดเดียวในพื้นที่ EEC ที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ร้อยละ 4.1 และร้อยละ 3.7 ตามลำดับ ส่งผลให้อุปทานพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยลดลงร้อยละ -11.6 แบ่งออกเป็นพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวนประมาณ 1,478,692 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -11.0 และอาคารชุดจำนวนประมาณ 61,212 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ-23.0 โดยพบว่า จังหวัดระยอง มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 อาจสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของแรงงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ส่วนใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน มีจำนวนโครงการลดลงร้อยละ -22.9 และจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -33.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยเป็นการจัดสรรประเภททาวน์เฮ้าส์มากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 40.2  และพบว่า จังหวัดชลบุรีมีใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44.3 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด

ภาพรวมอุปสงค์และอุปทานตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ในไตรมาส 2 ปี 2568 และครึ่งแรกปี 2568 มีสาระสำคัญดังนี้

1. สถานการณ์ด้านอุปทานที่อยู่อาศัย

1.1 ใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน ในไตรมาส 2 ปี 2568 มีโครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินจากกรมที่ดินจำนวน 24 โครงการ ลดลงร้อยละ –7.7 และมีจำนวนหน่วย 1,409 หน่วย ลดลงร้อยละ –10.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) (รายละเอียดตามแผนภูมิที่ 1 และ 2)

ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2568 ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุด จำนวน 565 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 40.1 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 545 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38.7 และบ้านแฝด จำนวน 264 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.7 ส่วนที่เหลือ เป็นที่ดินจัดสรร ตามลำดับ แต่ไม่พบอาคารพาณิชย์ (รายละเอียดตามแผนภูมิที่ 3)

สำหรับภาพรวมครึ่งแรกปี 2568 ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินจากกรมที่ดินจำนวน 54 โครงการ 4,038 หน่วย จำนวนโครงการลดลงร้อยละ -22.9 และจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -33.6 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 70 โครงการ  6,084 หน่วย (รายละเอียดตามตารางที่ 1)

ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็นทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน 1,624 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 40.2 ของจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 1,606 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.8 และบ้านแฝดจำนวน 758 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.8 ส่วนที่เหลือเป็นที่ดินจัดสรร ตามลำดับ แต่ไม่พบอาคารพาณิชย์ (รายละเอียดตามแผนภูมิที่ 4)

ทั้งนี้ หากพิจารณาเป็นรายจังหวัดใน EEC ครึ่งแรกปี 2568 จังหวัดที่มีใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุดเรียงลำดับได้ ดังนี้

อันดับ 1 จังหวัดระยอง มีจำนวน 1,787 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44.3 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรลดลงร้อยละ –28.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 920 หน่วย ลดลงร้อยละ -26.6 รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 483 หน่วย ลดลงร้อยละ -18.5 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 334 หน่วย ลดลงร้อยละ -49.5

อันดับ 2 จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 1,706 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42.2 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรลดลงร้อยละ –43.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภททาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน 733 หน่วย ลดลงร้อยละ -60.2 รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน   587 หน่วย ลดลงร้อยละ -32.4 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 386 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.8

อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 545 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.5 ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภททาวน์เฮ้าส์มากที่สุดจำนวน 408 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.9 รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 99 หน่วย ลดลงร้อยละ -40.4 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 38 หน่วย (รายละเอียดตามตารางที่ 1)

1.2 พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย

ในไตรมาส 2 ปี 2568 มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน EEC ทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัยที่ปลูกสร้างเอง และ ที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรรและอาคารชุด มีจำนวน 797,394 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 748,379 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 และอาคารชุดจำนวน 49,016 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -23.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) (รายละเอียดตามแผนภูมิที่ 5 และ 6)

สำหรับครึ่งแรกปี 2568 (มกราคม – มิถุนายน) มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน EEC ทั้งที่เป็นบ้านที่ประชาชนสร้างเอง บ้านในโครงการจัดสรร และอาคารชุด มีจำนวนประมาณ 1,539,903 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -11.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 แบ่งออกเป็นพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวนประมาณ 1,478,692 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -11.0 และอาคารชุด จำนวนประมาณ 61,212 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -23.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 (รายละเอียดตามตารางที่ 2)

เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดใน EEC ครึ่งแรกปี 2568 จังหวัดที่มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากที่สุด เรียงลำดับได้ดังนี้

อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่จำนวน 860,045 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 55.9 ของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลงร้อยละ -20.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 806,600 ตารางเมตร พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 717,758 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 43,653 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -76.0 และเป็นอาคารพาณิชย์จำนวน 22,798 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -60.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีจำนวน 53,446 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -18.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567

อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีพื้นที่จำนวน 475,176 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.9 ของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 475,176 ตารางเมตร พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 365,580 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.8 รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 81,771 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.7 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 20,442 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ตามลำดับ แต่ไม่พบพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดในครึ่งแรกปี 2568

อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีพื้นที่จำนวน 204,682 ตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.3 ของพื้นที่ ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลงร้อยละ -22.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 196,916 ตารางเมตร พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 161,530 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -20.9 รองลงมาเป็นอาคารพาณิชย์จำนวน 12,991 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -33.2 และเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 12,130 ตารางเมตร ลดลงร้อยละ -58.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ตามลำดับ  ส่วนอาคารชุดมีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างก่อสร้างเพิ่มขึ้นจำนวน 7,766 ตารางเมตร เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 (รายละเอียดตามตารางที่ 3)

2. ด้านอุปสงค์ที่อยู่อาศัย

2.1 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย

ในไตรมาส 2 ปี 2568 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน EEC จำนวน 11,125 หน่วย มีมูลค่า 27,018 ล้านบาทลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าร้อยละ –7.4 และร้อยละ –8.4 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีจำนวน 12,012 หน่วย และมูลค่า 29,484 ล้านบาท โดยเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบมากที่สุดจำนวน 8,001 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 71.9 ของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ลดลงร้อยละ –4.5 และมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 19,983 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -5.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีจำนวน 8,382 หน่วย และมูลค่า 21,145 ล้านบาท ส่วนอาคารชุด มีจำนวน 3,124 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.1 ลดลงร้อยละ -13.9 และมีมูลค่า 7,035 ล้านบาท ลดลงร้อยละ –15.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีจำนวน 3,630 หน่วย และมูลค่า 8,338 ล้านบาท (รายละเอียดตามแผนภูมิที่ 7 และ 8)

สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ มีจำนวน 4,628 หน่วย และโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง มีจำนวน 6,497 หน่วย ทำให้สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ต่อที่อยู่อาศัยมือสองในไตรมาส 2 ปี 2568 เท่ากับ 42 : 58 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ มีจำนวน  13,671 ล้านบาท และมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง มีจำนวน 13,346 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนมูลค่า ที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ต่อมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองเท่ากับ 51 : 49 (รายละเอียดตามตารางที่ 4)

สำหรับครึ่งแรกปี 2568 (มกราคม – มิถุนายน )มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน EEC จำนวน 20,660 หน่วย มีมูลค่า 50,644 ล้านบาท ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าร้อยละ -6.8 และร้อยละ -8.3 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 มีจำนวน 22,159 หน่วย และมูลค่า 55,240 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในครึ่งแรกปี 2568 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่สุด จำนวน 14,124 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 68.4 ของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ลดลงร้อยละ -5.6 และมีมูลค่าลดลงร้อยละ -7.6 หรือมีมูลค่า 35,306 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มีจำนวน 14,969 หน่วย และมีมูลค่า 38,223 ล้านบาท ส่วนอาคารชุด มีจำนวน 6,536 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.6 ของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด มีมูลค่า 15,338 ล้านบาท ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าร้อยละ -9.1 และร้อยละ -9.9 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 7,190 หน่วย และมีมูลค่า 17,017 ล้านบาท (รายละเอียดตามตารางที่ 5)

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมากที่สุด โดยเรียงตามมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เรียงลำดับ ดังนี้

อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ 13,840 หน่วย ลดลงร้อยละ –9.3 และมีมูลค่า 36,069 ล้านบาท ลดลงร้อยละ –10.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 15,265 หน่วย และมีมูลค่า 40,136 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 7,961 หน่วย มีมูลค่า 21,726 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ทาวน์เฮ้าส์มากที่สุด จำนวน 3,326 หน่วย มีมูลค่า 6,029 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 5,879 หน่วย มีมูลค่า 14,342 ล้านบาท

อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีจำนวน 5,129 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 และมีมูลค่า 10,944 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 4,929 หน่วย และมีมูลค่า 10,557 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 4,609 หน่วย มีมูลค่า 10,128 ล้านบาท ในจำนวนนี้ เป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 2,201 หน่วย มีมูลค่า 5,686 ล้านบาท ส่วนอาคารชุด มีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 520 หน่วย มีมูลค่า 816 ล้านบาท

อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 1,691 หน่วย ลดลงร้อยละ –13.9 และมีมูลค่า 3,631 ล้านบาท ลดลงร้อยละ –20.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 1,965 หน่วย และมีมูลค่า 4,546 ล้านบาท เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 1,554 หน่วย มีมูลค่า 3,451 ล้านบาท ในจำนวนนี้ เป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 666 หน่วย มีมูลค่า 1,687 ล้านบาท ส่วนอาคารชุด มีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 137 หน่วย มีมูลค่า 180 ล้านบาท (รายละเอียดตามตารางที่ 6 และ 7)

สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์แนวราบ ครึ่งแรกปี 2568 พบว่า ในพื้นที่ EEC มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ (หรือบ้านสร้างใหม่ที่โอนจากนิติบุคคล) จำนวน 5,464 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 16,969 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง (บ้านมือสองที่โอนจากบุคคลธรรมดา) มีจำนวน 8,660 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 18,337 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ต่อที่อยู่อาศัยมือสอง ครึ่งแรกปี 2568 เท่ากับ 39 : 61 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านสร้างใหม่ต่อบ้านมือสองมีสัดส่วน 48 : 52 และเมื่อจำแนกตามระดับราคา พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด มีจำนวน 4,512 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.9 ของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์แนวราบทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 2,028 หน่วย บ้านมือสองจำนวน 2,484 หน่วย รองลงมาเป็นระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท มีจำนวน 3,012 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.3 โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 1,275 หน่วย บ้านมือสองจำนวน 1,737 หน่วย และเป็นระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 2,102 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.9 โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 1,214 หน่วย บ้านมือสองจำนวน 888 หน่วย ตามลำดับ

และหากพิจารณาจากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มากที่สุด มีจำนวน 11,321 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.1 ของมูลค่า การโอนกรรมสิทธิ์แนวราบทั้งหมด โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 5,077 ล้านบาท บ้านมือสองจำนวน 6,244 ล้านบาท รองลงมาเป็นระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 7,938 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.5 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 4,584 ล้านบาท บ้านมือสองจำนวน 3,355 ล้านบาท และเป็นระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท มีจำนวน 5,364 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.2 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่จำนวน 2,279 ล้านบาท บ้านมือสองจำนวน 3,085 ล้านบาท ตามลำดับ (รายละเอียดตามแผนภูมิที่ 9 และ 10)

สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด ครึ่งแรกปี 2568 พบว่า ในพื้นที่ EEC มีการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่ (หรืออาคารชุดสร้างใหม่ที่โอนจากนิติบุคคล) จำนวน 2,995 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 8,289 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดมือสอง (อาคารชุดมือสองที่โอนจากบุคคลธรรมดา) มีจำนวน 3,541 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 7,049 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่ต่ออาคารชุดมือสอง ครึ่งแรกปี 2568 เท่ากับ 46 : 54 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของอาคารชุดสร้างใหม่ต่ออาคารชุดมือสองมีสัดส่วน 54 : 46

เมื่อจำแนกตามระดับราคา พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 1.01 – 1.50 ล้านบาท มากที่สุด จำนวน 1,474 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.6 โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่ มีจำนวน 503 หน่วย อาคารชุดมือสองจำนวน 971 หน่วย รองลงมาเป็นระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท มีจำนวน 1,443 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.1 ของหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 764 หน่วย อาคารชุดมือสองจำนวน 679 หน่วย และเป็นระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีจำนวน 1,412 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.6 โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์าคารชุดสร้างใหม่จำนวน 880 หน่วย อาคารชุดมือสองจำนวน 532 หน่วย ตามลำดับ

และหากพิจารณาจากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มากที่สุด มีจำนวน 3,421 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.3 ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดทั้งหมด โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 2,111 ล้านบาท อาคารชุดมือสองจำนวน 1,309 ล้านบาท รองลงมาเป็นระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท มีจำนวน 2,524 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 16.5 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 1,342 ล้านบาท อาคารชุดมือสองจำนวน 1,182 ล้านบาท และเป็นระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 2,327 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.2 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดสร้างใหม่จำนวน 1,188 ล้านบาท อาคารชุดมือสองจำนวน 1,139 ล้านบาท ตามลำดับ (รายละเอียดตามแผนภูมิที่ 11 และ 12)

คำสงวนลิขสิทธิ์
การนำข้อมูลที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ไปใช้งาน หรือเผยแพร่ต่อ ไม่ว่าแต่เพียงบางส่วนหรือทั้งหมด กรุณาอ้างอิง “ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์” เป็นแหล่งที่มาของข้อมูลด้วย

ข้อความจำกัดความรับผิดชอบ
ข้อมูลสถิติ ข้อเขียนใด ๆ ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รับมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือจากการประมวลผลที่เชื่อถือได้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ตรวจสอบจนมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องหรือความเป็นจริง และไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าในกรณีใด ๆ จากการใช้ข้อมูลผู้นำข้อมูลไปใช้พึงใช้วิจารณญาณ และตรวจสอบ ตามความเหมาะสม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : ฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ชั้น 18 อาคาร 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ 63 ถนนพระราม 9 ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทรศัพท์ 0-2645-9675-6 โทรสาร 0-2643-1252.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password