กลุ่มบางจากฯ เผยผลงานปี 64 EBITDA มีรายได้กว่า 2.5 หมื่นล้าน

กลุ่มบางจากฯ รายงานผลการดำเนินงานปี 2564 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 199,417 ล้านบาท EBITDA 25,818 ล้านบาท กำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 7,624 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.25 บาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานจนท.บริหารและ กก.ผจก.ใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของในปี 2564 ว่า ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 บางจากฯ และบริษัทย่อย สามารถสร้างผลดำเนินงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 199,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 จากปี 2563 คิดเป็น EBITDA 25,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 529 จากปี 2563 และกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 7,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,591 ล้านบาทจากปี 2563 คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.25 บาท นับเป็นผลการดำเนินงานที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการเฉพาะไตรมาส 4 ปี 2564 มียอดรวม 66,762 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังจากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วโลกส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันเกิดขึ้น และสถานการณ์การแพร่ระบาดในหลายประเทศเริ่มคลี่คลายลง

โดยผลการดำเนินงานในปี 2564 ของแต่ละกลุ่มธุรกิจมีดังนี้ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้น 11,532 ล้านบาทจากปี 2563 โดยหลักมาจากในปี 2564 มี Inventory Gain 5,966 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2563 มี Inventory Loss และค่าการกลั่นพื้นฐานอยู่ที่ 4.52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน 1.31 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

นอกจากนี้ ยังปรับเพิ่ม กำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์ UCO (Unconverted Oil) ซึ่งช่วยหนุนค่าการกลั่นและลดผลกระทบจากความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่ปรับลดลงแม้ในไตรมาส 1 มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นตามวาระ แต่สามารถทำให้มีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 99,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 83% ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น และปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์ UCO ปรับเพิ่มเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน

กลุ่มธุรกิจการตลาด ผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปี 2563 โดยหลักมาจากในปี 2564 มี Inventory Gain จากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรวมของธุรกิจการตลาดปรับลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันใสผ่านสถานีบริการน้ำมันในอันดับ 2 ตามข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน (16.2%) โดย ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวนสถานีบริการน้ำมัน 1,277 สถานี

กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นร้อยละ 15 จากปี 2563 โดยหลักมาจากปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าโดยรวมเพิ่มขึ้น รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในประเทศไทยใหม่ 4 โครงการและโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ Nam San B ใน สปป.ลาว ที่รับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีและการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ประเทศอินโดนีเซีย 577 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 344 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มีการรับรู้กำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน ส่งผลให้ผลการดำเนินงานยังคงใกล้เคียงกับปีก่อน แม้จะได้รับผลกระทบจากธุรกิจไบโอดีเซลที่ปริมาณการจำหน่ายปรับลดลงจากสถานการณ์โควิด-19 และมาตการการปรับลดสัดส่วนการผสม B100 เพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศ และธุรกิจเอทานอลที่มีความต้องการใช้ปรับลดลง

กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มีผลการดำเนินงานในปี 2564 มี EBITDA เพิ่มขึ้น 9,254 ล้านบาทเทียบจาก ปี 2563 โดยหลักมาจากการที่ในปี 2564 กลุ่มบริษัทฯ เปลี่ยนวิธีการบันทึกเงินลงทุนใน OKEA จากบริษัทร่วมเป็นบริษัทย่อย เปลี่ยนวิธีการรับรู้ผลการดำเนินงานจากวิธีรับรู้ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) เป็นวิธีการจัดทำงบการเงินรวมตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 และในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2564 มีการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนใน BCPE (สุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยน) ประมาณ 120 ล้านบาท ส่งผลให้ปีนี้กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติมี EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาขายเฉลี่ยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 464 เทียบจากปี 2563 จากความต้องการสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาวของยุโรป และการผ่อนคลายล็อกดาวน์ในหลายประเทศ

ในขณะที่ยุโรปมีปริมาณก๊าซในคลังสำรองอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ OKEA มีรายได้จากการจำหน่ายน้ำมันและก๊าซสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และการลงทุนใน OKEA นี้สร้างรายได้จากการขายและการให้บริการคิดเป็นร้อยละ 16 ของรายได้จากการขายและการให้บริการส่วนที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ของกลุ่มบริษัท ในขณะที่ EBITDA ของ OKEA คิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ของ EBITDA ของกลุ่มบริษัทโดยรวม

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2565 กลุ่มบางจากฯ ตั้งเป้าเดินหน้าขยายธุรกิจโดยมุ่งเน้นการลงทุนโดยให้ความสำคัญกับนวัตกรรมสีเขียวเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) ในปี ค.ศ. 2030 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี ค.ศ. 2050

โดยในปีนี้ บางจากฯ ได้รับ S&P Global Sustainability Award 2022 ระดับ Silver Class เป็นอันดับ Top 3 ของโลก จากการประเมินโดย S&P Global ผู้จัดทำการประเมินความยั่งยืนดัชนี Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI ตอกย้ำแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมธุรกิจอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม

ซึ่งครอบคลุมไปถึงการดำเนินธุรกิจสีเขียวผ่านบริษัทในกลุ่มอย่าง BCPG และ BBGI โดย BBGI ที่มีแผนยุทธศาสตร์รุกธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง พร้อมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 17 มีนาคม 2565 นี้

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 อนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2564 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น จะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2564 ในอัตรา 2 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินรวมประมาณ 2,715 ล้านบาท โดยวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลเป็นวันที่ 3 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2565.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password