‘เอกนิติ’ โชว์ ‘สรรพากรยั่งยืน’ ตั้งเป้าเก็บ 2 ภาษีใหม่ข้ามโลก

สรรพากรเดินหน้าสู่ “สรรพากรยั่งยืน” ชูนวัตกรรมสร้างรายได้ใหม่จากต่างชาติเข้าประเทศ หวังสร้างความยั่งยืนทางการคลังของไทย เผย! 2 ภาษีใหม่สะท้านโลก “เงินภาษีเงินจากปันส่วนกำไรอิงรายได้ภาษี e-Srevice” กับบีบให้ชาติรับฟากเงินเลี่ยงภาษีต้องจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำที่ 15% คาดเสร็จไม่ทันใช้ปี 66 แน่

“สรรพากรยั่งยืน” แนวคิดที่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ตั้งเรื่องให้ข้าราชการในสังกัดทั่วประเทศ ร่วมกันดีไซน์จนนำมาซึ่งแนวทางการดำเนินงานที่ “โฟกัส” การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและการบริหารงานยุคใหม่มาประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บภาษี เพื่อสร้างเสถียรภาพการคลังของไทยให้ยั่งยืน

เกือบ 4 ปี ที่ผ่านมากรมสรรพากรนำกลยุทธ์ Digital Transformation มาปรับเปลี่ยนกระบวนงานให้ทันสมัย และนำข้อมูลขนาดใหญ่มาวิเคราะห์ เพื่อวางกลยุทธ์จัดเก็บภาษี รวมถึงนำนวัตกรรม (Innovation) และ เทคนิคการบริหารงานยุคใหม่ อาทิ Design Thinking, Agile และ Hackathon มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพระบบงาน และพัฒนาบุคลากรให้มีคุณธรรม และมีความรู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากการวางรากฐานดังกล่าวตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโควิด – 19 ทำให้การดำเนินงานและการให้บริการประชาชนในช่วงวิกฤติโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก และยังสามารถช่วยให้กรมฯ บรรลุเป้าหมายหลัก 3 ด้าน ได้แก่ จัดเก็บภาษีได้ ‘ตรงเป้า’ ออกนโยบายภาษีช่วยเหลือประชาชนได้ ‘ตรงกลุ่ม’ และบริการผู้เสียภาษีได้ ‘ตรงใจ’อธิบดีกรมสรรพากร ระบุ

ระหว่างงานแถลงข่าว…รวมเดินทางก้าวสู่ “สรรพากรยั่งยืน” เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 เสมือนเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของหน่วยงานแห่งนี้ เพราะหลังจากได้มีการนำดิจิทัลมาใช้ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานแล้ว ไม่เพียงจะช่วยเพิ่มการสร้างฐานรายได้ใหม่ให้กับประเทศ โดยเฉพาะการออกกฎหมายจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริการอิเล็กทรอนิกส์จากแพลตฟอร์มต่างชาติ (VAT for Electronic Service : VES) ที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการในประเทศไทย เนื่องจากพบว่า…แค่ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 กรมสรรพากร สามารถจัดเก็บรายได้ภาษีจากมูลค่าบริการของต่างชาติในไทยที่มีมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท ถึงกว่า 4,200 ล้านบาท และยังสร้างความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย จากการที่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติต้องมาจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกับผู้ประกอบการไทย

นายเอกนิติ ระบุอีกว่า การเก็บภาษี  e – Service นี้จะช่วยให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลรายได้ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติ ที่จะสามารถนำไปใช้คำนวณเป็น “ฐานภาษีเงินได้” อันจะเป็นฐานรายได้ใหม่ให้ประเทศไทยในอนาคต โดยขณะนี้ กรมสรรพากรกำลังร่วมกับ 139 ประเทศทั่วโลก เจรจามาตรการป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วย  2 เสาหลัก ได้แก่ เสาที่ 1 (Pillar 1) มาตรการกำหนดให้บริษัทข้ามชาติต้องเสียภาษีเงินได้โดยปันส่วนกำไรมาให้กับประเทศผู้ใช้บริการถึงแม้จะไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศที่ให้บริการ และ เสาที่ 2 (Pillar 2) มาตรการกำหนดให้บริษัทข้ามชาติที่หลบเลี่ยงภาษีโดยถ่ายโอนกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ จะต้องถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจนเสียอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำที่ 15% 

ทั้งนี้ หากการเจรจาต่างๆ นี้สำเร็จลุล่วงได้ตามแผนในปี 2566 ไทยจะมีแหล่งรายได้ใหม่จากบริษัทข้ามชาติ ที่เคยหลบเลี่ยงภาษี!!!

อย่างไรก็ตาม นั่นคือ…แผนงานที่กรมสรรพสากรคาดหวังไว้แต่หน้างานจริง “ทีมข่าวยุทธศาสตร์” เชื่อว่า…ภารกิจนี้จะไม่เสร็จทันอย่างแน่นอน เนื่องจาก…ตัวเลขประมาณการรายได้และรายละเอียดอื่นๆ รวมถึงหลักเกณฑ์และกติกา ตลอดจนขั้นต่างๆ ที่จะทำกันทั้งภายในประเทศ และข้ามประเทศ ยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน และต้องหารือกันเป็นการภายในระหว่างประเทศสมาชิกกว่า 100 ประเทศใน OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ)

กระนั้น ก็ถือเป็นเจตนารมณ์ที่ดี ที่กรมสรรพสากรจะสร้างรายได้ใหม่ๆ และสร้างความเป็นธรรมคู่ขนานกันไป

เพราะสิ่งที่ กรมภาษีแห่งนี้…ได้ทำไว้ในยุคของ นายเอกนิติ ซึ่งเจ้าตัวจะต้องย้ายหน่วยงานไปนั่งทำงานที่กรมสรรพสามิตในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เนื่องจากนั่งในตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากรครบ 4 ปีเต็ม นั้น ถือเป็นความสำเร็จที่นำมาซึ่งความยั่งยืนในแง่การจัดเก็บรายได้ให้กับรัฐบาลในอนาคต

 และด้วยความมุ่งมั่น…ที่ไม่เพียงจะพัฒนาระบบและบุคลากรให้มีความพร้อมกับโลกในอนาคต  แต่การพัฒนาระบบต่างๆ นี้ กลับส่งผลดีให้กรมสรรพากรได้รับรางวัลมากมายมาตลอด 3 ปีอย่างต่อเนื่อง อาทิ รางวัลเลิศรัฐยอดเยี่ยม ติดต่อกัน 2 ปีซ้อน (ประจำปี 2563 และ 2564) ซึ่งเป็นรางวัลที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ยกย่องเชิดชูหน่วยงานภาครัฐที่มุ่งมั่นปฏิบัติราชการจนสำเร็จเป็นเลิศแห่งหน่วยงานภาครัฐทั้งปวง รวมทั้งยังได้รางวัลระดับชาติ เช่น รางวัลองค์กรนวัตกรรมดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2564 และ รางวัลจากเวทีอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งสิ้น 29 รางวัล ในช่วงปี 2562 – 2564

การยกระดับศักยภาพของกรมสรรพากร  ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักที่จัดเก็บรายได้ถึง 65% ของรายได้รัฐบาลทั้งหมด และการสร้างเสถียรภาพทางการคลังของประเทศเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมาก การที่องค์กรแห่งนี้จะยั่งยืนได้ จะต้องมีกระบวนงานที่คล่องตัว (Agile) ต้องนำกระบวนการออกแบบนวัตกรรม (Design Thinking) มาแก้ไขข้อจำกัดต่างๆ ของภาครัฐ และสร้างบุคลากรให้มุ่งมั่นพร้อมที่จะเรียนรู้ (Growth Mindset) จะเห็นได้ว่า ในช่วงสถานการณ์ของโควิด – 19 ที่เกิดขึ้นนั้น ประเทศต้องใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อยในการสนับสนุนด้านสาธารณสุขของประเทศ เพื่อดูแลประชาชนในช่วงโควิด ดังนั้น แนวคิด “สรรพากรยั่งยืน” นี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้กรมสรรพากรบรรลุวิสัยทัศน์ “การเป็นองค์กรชั้นนำที่จัดเก็บภาษีอย่างโปร่งใสเป็นธรรม ด้วยนวัตกรรม และบุคลากรคุณภาพ เพื่อสร้างเสถียรภาพการคลัง อธิบดีกรมสรรพากร ย้ำสรุป.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password