สศค.ชี้เศรษฐกิจ มี.ค.ยังโต เหตุจากส่งออก-ท่องเที่ยวดี

ผู้บริหาร สศค. แท็กทีม แถลงชัด! เศรษฐกิจไทย มี.ค.65 โตรับภาคส่งออกขยายตัว พ่วงการท่องเที่ยวที่เติบโต  เผย! กระทรวงการคลังยังคงกังวลปมความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ชี้! อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและระดับราคาสินค้าภายในประเทศ

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พร้อมด้วย นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง และ นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค แถลงภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมีนาคม 2565 ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนมีนาคม 2565 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและระดับราคาสินค้าภายในประเทศ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนมีนาคม 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.1 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลร้อยละ 1.3 ขณะที่การบริโภคสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -1.4 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลร้อยละ 10.2  และรายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนมีนาคม 2565 ขยายตัวเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 7.6 อย่างไรก็ดี ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -8.6 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -9.6 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน มี.ค. 2565 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 42.0 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 และผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และต้นทุนการผลิตสินค้าและระดับราคาสินค้าทั่วไปปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลง

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนมีนาคม 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 1.5 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -2.0 และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 15.4 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -4.8  สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนมีนาคม 2565 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -2.7 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -0.5 และภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -14.6 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล
ที่ร้อยละ -14.8

มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มูลค่าการส่งออกสินค้ารวม
ในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมีนาคม 2565 อยู่ที่ 28,859.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันที่ร้อยละ 19.5 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวร้อยละ 8.9 โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่

1) สินค้าที่ได้รับอานิสงส์จากราคาพลังงานและโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยางยานพาหนะ เป็นต้น

2) สินค้าเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะน้ำตาลทราย ข้าว อาหารสัตว์เลี้ยง และสิ่งปรุงรสอาหาร ที่ขยายตัวร้อยละ 204.3 53.9 15.5 และ 9.7 ตามลำดับ

3) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องโทรสาร โทรศัพท์และอุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ภายในบ้าน อาทิ เตาอบไมโครเวฟ ตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศ

และ 4) สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ ที่ยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า การส่งออกไปยังตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดหลัก ได้แก่ อินเดีย อาเซียน 5 สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ที่ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 43.3 34.8 21.5 และ 14.5 ตามลำดับ

เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคเกษตร สะท้อนจาก ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนมีนาคม 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 4.9 จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ เช่น ข้าวเปลือก ยางพารา และสินค้าในหมวดไม้ผล เป็นต้น สำหรับด้านบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนมีนาคม 2565 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 210,836 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักร เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และอินเดีย ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนมีนาคม 2565 จำนวน 15.4 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 42.4 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 26.6

ขณะที่ ภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 89.2 จากระดับ 86.7 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวและความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการต่างเร่งผลิตสินค้า
เพื่อให้ส่งมอบก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตยังมีความกังวลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ราคาพลังงานในตลาดโลกสูงขึ้น และส่งผลให้ราคาต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น

ทางด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้มีปัจจัยกดดันจากระดับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น สะท้อนจาก
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม 2565 อยู่ที่ร้อยละ 5.73 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.00 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 อยู่ที่ร้อยละ 60.2 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 อยู่ในระดับสูงที่ 242.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password