จีน : ‘ตัวกลาง’ กดปุ่มหยุดยิง!


รัฐบาลไทยขยับเกมการทูตเต็มรูปแบบ! รับมือศึกชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยังเปราะบาง แม้จีนสวมบท “ตัวกลาง” กดปุ่มหยุดยิง! แต่เค้าลางความเสี่ยงรบรอบใหม่…ยังไม่หายไป? ยิ่งเมื่อเงื่อนไขการหยุดยิง มิอาจจะ “ลด” แรงเสียดทานในพื้นที่จริงได้ หากมีเสียงปืนดังอีกครั้ง! ปัญหาอาจไม่ใช่…โต๊ะเจรจาล้ม! แต่เป็นความตึงเครียดหน้างาน ที่ไร้การปลดชนวนนั่นเอง
การลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคอีสานใต้ ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของข้อตกลงหยุดยิงไทย–กัมพูชา เมื่อช่วงสายวันนี้ (29 ธันวาคม 2568) อาจไม่ใช่เพียง…ภารกิจเชิงสัญลักษณ์
แต่เป็นการ “ส่งสัญญาณ” ทางการเมืองและความมั่นคงในคราวเดียวกัน!!!
นายกฯอนุทิน ย้ำผ่านสื่อมวลชนที่เกาะติดตัวเขา ว่า…สถานการณ์โดยรวม “เรียบร้อยดี” ภายใต้กรอบหยุดยิง 72 ชั่วโมง พร้อมระบุว่า…ฝ่ายความมั่นคงยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แม้ระดับการโจมตีซึ่งกันและกันจะลดลงเป็นศูนย์แล้วก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าไทยจะลดการป้องกันหรือความพร้อมลง
ถ้อยคำของ นายกรัฐมนตรี ที่กล่าวว่า “ต้องฟังข่าวจากทางราชการ เพราะตอนนี้มีข่าววิเคราะห์เต็มไปหมด” สะท้อนความพยายามของรัฐบาล ในการ “ดึงสังคมไทย” ออกจากกระแสข่าวลือ และการคาดการณ์ ที่อาจเร่งเร้า…อารมณ์สาธารณะ
ขณะเดียวกัน นายอนุทิน ก็ไม่ปฏิเสธความจริงที่ว่า…ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชายังต้องใช้เวลา และ สิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดในตอนนี้ คือ การทำให้การหยุดยิงผ่านพ้นไปทีละขั้น โดยเน้นความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก!
ท่าทีดังกล่าวสอดรับกับการ “ขยับเกม” ในมิติการทูต! เมื่อ นายหวัง อี้ รมต.ต่างประเทศของจีน ได้เข้ามารับบท “ตัวกลาง” ด้วยการเชิญ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมต.ต่างประเทศของไทย และ นายปรัก สุคน รมต.ต่างประเทศของกัมพูชา ไปหารือที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน
ประเด็นนี้ นายกฯอนุทิน ที่ระบุว่า…ตนได้รับรายงานว่าการพูดคุยเป็นไปด้วยดี และกำลังเข้าสู่การประสานงานกับฝ่ายกัมพูชาโดยตรง
ก่อนจะย้ำว่า…ข้อเสนอความช่วยเหลือจากจีนในวงเงิน 20 ล้านหยวน ไม่ได้มีเพียงฝ่ายเดียว เพราะจีนแจ้งข้อเสนอลักษณะเดียวกันมายังไทยเช่นกัน เพียงแต่รายละเอียดและเงื่อนไขต้องรอการพิจารณาร่วมกันหลังคณะเจรจากลับประเทศ
ในเชิงยุทธศาสตร์ บทบาทของจีน ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ไกล่เกลี่ย” ในทางการทูต เท่านั้น หากแต่จะทำหน้าที่เป็น “ผู้คุมจังหวะ” ความขัดแย้งระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกด้วย
ดังนั้น การตั้งโต๊ะเจรจา “นอกกรอบอาเซียน” รอบนี้ จึงสะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่า…เมื่อสถานการณ์พัฒนาไปสู่การปะทะด้วยอาวุธจริง! “กลไกดั้งเดิม” อาจเร็วได้ไม่พอจะยุติเรื่อง จำเป็นที่ ฝ่ายจีน…ต้องเข้ามาเติมช่องว่างนี้
พร้อม “ยกระดับ” ต้นทุนทางการเมืองและภาพลักษณ์ของฝ่ายใดก็ตาม ที่ทำให้การหยุดยิงพังลง…ฝ่ายนั้น จะต้องจ่ายคืนในราคาที่แพงมาก!!!
อย่างไรก็ตาม การมี “ตัวกลาง” ที่ทรงอิทธิพล ไม่ได้เป็นหลักประกันชั้นดี ที่จะทำให้ความเสี่ยง! ของการรบรอบใหม่หมดไป
เหตุเพราะ…ยังมีบางสิ่งที่ถือเป็น “จุดเปราะบางที่สุด!” นั่นคือ…โครงสร้างของข้อตกลงหยุดยิงเอง!!!
ซึ่งในทางปฏิบัติ! ยังเป็นเพียงการ “หยุดยิง…โดยไม่ลดการเผชิญหน้า” แถมยังไม่มีเงื่อนไขถอนกำลัง, ไม่มีเขตกันชน และไม่มีมาตรการลดแรงเสียดทานในพื้นที่จริง
เมื่อ กำลังทหารของทั้ง 2 ฝ่าย “ไทย – กัมพูชา” ยังคงตรึงอยู่ในจุดเสี่ยง! โอกาสของความไม่ไว้วางใจต่อกัน ก็จะยังคงมีสูง และอาจนำไปสู่เหตุปะทะในบางจุดบางพื้นที่ หรือเกิดความเข้าใจผิด กระทั่ง กลายเป็นการลุกลามตามมาได้…
นี่คือ เหตุผลสำคัญ…ที่ทั้งฝ่ายความมั่นคงไทยและสื่อนานาชาติ ยังประเมินความเป็นไปได้ของ “การรบรอบที่ 3” อย่างจริงจัง
หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ต้นเหตุสำคัญที่สุด! อาจไม่ใช่เพราะ…โต๊ะเจรจาล้มเหลว??? แต่เพราะการประกาศหยุดยิง 72 ชม. ยังไม่มีการแตะไปที่ “รากของปัญหาหน้างาน”
เมื่อแรงเสียดทานยังอยู่ครบ…การปะทุ! จากอุบัติเหตุทางยุทธวิธี หรือการตอบโต้แบบอัตโนมัติ! จึงมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นมาได้เสมอ!!??
ท่ามกลาง กระแสข่าวแทรกด่วน! ขึ้นมา ว่าด้วย…เครื่องบินจากเบลารุส ที่ถูกจับตามองว่า…อาจเกี่ยวข้องกับการขนส่งยุทโธปกรณ์ไปยังกัมพูชา นั้น
ประเด็นนี้…“ทีมข่าวยุทธศาสตร์” เห็นว่า…เราคนไทย ควรจะมองสิ่งนี้ ในฐานะ “ตัวเร่งบรรยากาศความไม่ไว้วางใจ” มากกว่า…เห็นเป็น “หลักฐานชี้ขาดของการยกระดับสงคราม!”
แม้ยังไม่มีข้อมูลยืนยัน แต่จากข้อมูลและหลักฐานที่มี มันก็มากเพียงพอจะทำให้ การรับรู้ของสังคมไทย และการตัดสินใจของหน่วยปฏิบัติการ อยู่ในระดับที่ “ตึงขึ้น!” และกลับไป “ซ้ำเติม” ปัญหาเดิม นั่นคือ…
การหยุดยิงที่ยังไม่ลดการเผชิญหน้าในพื้นที่จริง!!!
ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ที่ยากจะหลีกเลี่ยงในระยะต่อไป คือ การ “เชื่อม” การทูต เข้ากับมาตรการความมั่นคงอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น…
การกำหนดแนวทางลดกำลังในจุดเสี่ยง
การตั้งกลไกสื่อสารฉุกเฉินระหว่างหน่วยหน้าแนว
หรือ การมีมาตรการรองรับเหตุยั่วยุรายจุดโดยไม่ให้ลุกลาม
ทั้งหมดนี้…คือ “พื้นที่” ที่การเมือง, การทูต และความมั่นคง…ควรจะต้องเดินไปพร้อมกัน และไม่ใช่แยกส่วนออกจากกัน!!!
ท้ายที่สุด! หากการหยุดยิงยืนระยะได้ จีนย่อมได้เครดิต! ในฐานะ “ผู้คุมเสถียรภาพภูมิภาค”
แต่หากเกิดเสียปืนดังขึ้นอีกครั้ง! สิ่งที่สะท้อนกลับมาชัดเจนที่สุด…จะไม่ใช่คำถามว่า…ใครเป็น “ตัวกลาง” ที่ล้มเหลว?
หากแต่คือคำถามที่ว่า…รัฐและกลไกระหว่างประเทศ สามารถจะจัดการ “ความจริงตามแนวชายแดน” ได้ดีพอหรือไม่? อย่างไร?
เพราะต่อให้…โต๊ะเจรจาอยู่ไกลเพียงใด? ผลกระทบจากการปะทะของทหาร 2 ชาติ ย่อมจะตกอยู่กับประชาชนในพื้นที่ทันที!
และนั่นคือ “โจทย์ใหญ่ที่สุด!” ที่รัฐบาลไทย…ต้องไม่พลาดในห้วงเวลานี้!!!.






