เกมการเมือง – เกมคุมจังหวะ

เกมการเมืองในโหมดการเลือกตั้ง 2569 อาจไม่ใช่เกมของพรรคการเมืองที่ “เปิดตัวเร็ว” แต่เป็นเกมของคนที่ “คุมจังหวะสุดท้าย” ได้อยู่มือมากกว่า เป็นสถานการณ์ที่พรรคใหญ่ต่างชะลอเกม เล่นสงครามการเมืองในแบบ “เปิดไพ่ทีละใบ” ท่ามกลางสนามที่ กกต. กลับเร่งเวลา วางไทม์ไลน์ “เลือกตั้งล่วงหน้า” ในภาวะที่เสียงของคนไทยจะยเป็นตัวแปรชี้ขาดอย่างแท้จริง

การเมืองไทยกำลังเดินเข้าสู่ “โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ” อย่างเป็นทางการ หลัง พระราชกฤษฎีกายุบสภามีผลใช้บังคับ และ กกต.กำหนดวันเลือกตั้ง 8 กุมภาพันธ์ 2569 พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป

แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าปฏิทินเลือกตั้ง คือ “จังหวะการขยับตัว” ของพรรคการเมืองใหญ่ ที่ต่างเลือกเดินเกมไม่เหมือนกัน

ทว่าเป้าหมายเดียวกัน คือ การยืนอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบที่สุดในช่วงโค้งสุดท้าย

สนามเลือกตั้งรอบนี้ จึงไม่ใช่การแข่งกันเปิดนโยบายก่อน ไม่ใช่การ “รีบ” ชูแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้เร็วที่สุด!

อีกทั้ง มันก็ยังไม่ใช่ “เกมวัดพลัง” คำปราศรัยเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการแข่งขันด้าน…การจัดทีม, การจัดเวลา และการจัดความเสี่ยงในสมการหลังการเลือกตั้ง ที่ยังไม่มีใคร? กล้า “ฟันธง” ว่า…

สงครามการเมือง ว่าด้วยการเลือกตั้งรอบใหม่นี้จะจบลงอย่างไร???

พรรคภูมิใจไทย เลือกเดินเกมแบบ “ชะลอแต่คุม” นายอนุทิน ชาญวีรกูล ย้ำชัดว่า…ยังไม่ถึงเวลาประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แม้รายชื่อจะชัดเจนอยู่แล้วในทางปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็น…

ตัวหัวหน้าพรรคเอง, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ, นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ หรือ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว

การไม่เร่งรีบเปิดไพ่…ไม่ได้สะท้อนความไม่พร้อม แต่มันคือการส่งสัญญาณว่า…พรรคกำลังขาย “ทีมทำงาน” มากกว่า “ตัวบุคคล”

พรรคสีน้ำเงิน พยายามวางภาพตัวเองเป็น…พรรคของเสถียรภาพ เป็นรัฐบาลที่ต่อเนื่อง เป็นกลไกบริหารที่ไม่ผูกชะตากับคนเพียงคนเดียว

ในภาวะที่การเมืองไทย…เต็มไปด้วยอุบัติเหตุ การมี “แคนดิเดตหลายคน” ไม่ใช่ความลังเล แต่คือ…การกระจายความเสี่ยง และเปิดพื้นที่ต่อรองในสมการหลังเลือกตั้ง

โดยเฉพาะ…หากผลเลือกตั้งออกมาไม่ขาด พรรคที่มีภาพ “พร้อมทำงานทันที” ย่อมมีแต้มต่อมากกว่าพรรคที่มีแต่สโลแกน

ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย ก็กำลังเร่งเครื่องในอีกจังหวะหนึ่ง เกมของพรรคสีแดง…ไม่ใช่การเปิดตัวโครงสร้างใหม่ แต่คือการ “ทวงคืนพื้นที่” โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ที่การเลือกตั้งครั้งก่อนพ่ายแพ้อย่างหนัก

การประกาศความพร้อม ส่งผู้สมัครครบ 400 เขต คือการย้ำว่า…พรรคยังมีโครงข่าย ยังมีฐาน และยังพร้อมสู้ในสนามจริง ไม่ใช่เพียงในโลกกระแส

ทว่าความท้าทายของ พรรคเพื่อไทย คือ การยืนอยู่ระหว่าง 2 ขั้ว ระหว่าง…ภาพพรรคเก่าที่คนคุ้นเคย กับความคาดหวังใหม่ของ “ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่”

ในขณะที่ พรรคประชาชน ที่ ครอบครองพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ของ “ความเปลี่ยนแปลง” อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น พรรคเพื่อไทย…จึงต้องพิสูจน์ตัวเองในฐานะผู้ท้าชิงที่ไม่ได้แค่กลับมา แต่กลับมาเพื่อชนะจริง!!!

ต่างจาก 2 พรรคใหญ่ “สีน้ำเงิน และสีแดง” ทว่า…พวกสีส้ม พรรคประชาชน กลับเลือกเปิดเกมเร็ว เปิดไพ่ก่อน และเดิมพันกับพลังมวลชนอย่างตรงไปตรงมา

การประกาศ “โครงสร้าง” รองนายกรัฐมนตรี 4 ด้าน, การไม่ยึดโยงกับโควตากระทรวง และ การใช้คำว่า “รัฐบาลประชาชน” เป็นแกนเดียวของการสื่อสาร มันคือ…

การเปลี่ยนการเลือกตั้งจากการเลือกคน มาเป็นการเลือกโครงสร้างการบริหารประเทศ

พรรคประชาชน เชื่อว่า…ความได้เปรียบของตน ไม่ได้มาจากเงิน ไม่ได้มาจากเครือข่ายอำนาจเดิม แต่คือ “หัวคะแนนธรรมชาติ” ที่พร้อมออกแรงเองโดยไม่ต้องซื้อ

ความมั่นใจนี้ สะท้อนจากตัวเลขสมาชิกพรรค เงินอุดหนุน และผลเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ยังคงเป็นฐานแข็งแรง

อย่างไรก็ตาม การเปิดไพ่เร็ว ย่อมมาพร้อมความเสี่ยง และโครงสร้างที่ประกาศล่วงหน้า อาจถูกคู่แข่งนำไปตั้งคำถามเรื่องความเป็นไปได้ในการบริหารจริง

และ การไม่ผูกกับกระทรวง อาจถูกโจมตีว่า…เป็นอุดมคติที่ไม่สอดคล้องกับการเมืองแบบผสมผสานของไทย

พรรคประชาชน จึงกำลังเดินอยู่บน “เส้นบางๆ” ระหว่างความกล้า กับความเปราะบาง???

ในอีกมุมหนึ่ง บทบาทของ กกต. ในการ “เร่ง” ไทม์ไลน์เลือกตั้ง และการเปิดให้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าเร็วขึ้น

สิ่งนี้…อาจกำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่หลายพรรคยังพูดถึงไม่เต็มที่!!??

การเลือกตั้งล่วงหน้า…ไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิ แต่คือ…เรื่องการจัดการ

พรรคที่มีระบบพื้นที่, มีการสื่อสารถึงผู้ใช้แรงงาน, คนทำงานนอกถิ่น และประชากรเคลื่อนย้าย ก็น่าจะได้เปรียบในสนามนี้อย่างเงียบๆ

เมื่อทุกชิ้นส่วนถูกวางลงบนกระดาน การเลือกตั้งครั้งนี้…จึงไม่ใช่เกมของใครเปิดตัวก่อน, ไม่ใช่เกมของใครเสียงดังที่สุด!

แต่เป็นเกมของใคร “อ่านจังหวะสุดท้าย” ขาด!!!

พรรคที่รู้ว่า…เมื่อใดควรนิ่ง, เมื่อใดควรขยับ และเมื่อใดควรเปิดไพ่ใบสุดท้าย จะเป็นพรรคที่ยืนอยู่ในตำแหน่งได้เปรียบที่สุดในคืนเลือกตั้งครั้งใหม่นี้

เพราะใน สนามการเมืองที่ไม่มี ส.ว. เป็นตัวแปร อีกต่อไป เสียงประชาชนคนไทย…จะตัดสินทุกอย่าง และเกมนี้ จะตัดสินกันที่จังหวะสุดท้ายจริงๆ!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password