เงินสกปรก…การเมือง


เหตุกองทัพไทยยิงถล่ม! ฐานสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา มันทำลายธุรกิจผิดกฎหมายได้จริงหรือ? มีหลักประกันใด? จะยืนยันได้ว่า…เงินสกปรกจะไม่ไหลมาฟอกขาวในไทย ถึงขั้นซื้อ “นักการเมืองสายเทา” เข้าสภาฯ ในเมื่อวันนี้ “เงาของเงินสกปรก” จ่อทะลักใส่การเลือกตั้งรอบใหม่ รอซื้ออิทธิพลในระบบประชาธิปไตยไทย
ภาพที่ กองทัพไทยยิงถล่มใส่อาคารสำนักงาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ในกัมพูชา จนพังทลายในหลายพื้นที่…
อาจสร้างความสะใจให้กับคนไทย และชาวโลกบางส่วน
แต่คำถามที่ใหญ่กว่านั้น…
คำตอบคือไม่??? และเราก็เคยพูดกันถึงเรื่องราวเหล่านี้ กันมาแล้วหลายครั้ง
กระนั้น เหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ได้สะท้อนภาพความมั่นคงรูปแบบใหม่อย่างชัดเจน
ภาพที่สื่อว่า…ฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายสแกมเมอร์เหล่านั้น ถูกเชื่อมโยงเข้ากับมิติทางการทหารและความปลอดภัยของรัฐ
เหตุการณ์นี้…มันกำจัดขบวนการธุรกิจสีเทาได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด! จริงไหม?
แต่ขยายไปสู่ คำถามเชิงโครงสร้าง ที่ว่า… ประเทศไทยและภูมิภาคนี้ กำลังรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจังเพียงใด? มากกว่า!!!
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เคยย้ำหลายครั้งต่อสาธารณะว่า…ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง” แต่เป็นภัยคุกคามร่วมของภูมิภาค ที่ต้องจัดการทั้งในมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ และการเงิน
พร้อมยืนยันว่า…รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการตัดวงจรอาชญากรรมตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงเส้นทางการเงิน ไม่ใช่เพียงการจับกุมผู้กระทำผิดระดับล่าง
อย่างไรก็ดี แกนนำฝ่ายค้าน อย่าง…นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ นายรังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าจากพรรคเดียวกัน ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า…การปราบปรามที่เห็นในภาพข่าวอาจยังไม่เพียงพอ หากไม่สามารถสาวไปถึง “ตัวการ” และ “ผู้อำนวยความสะดวก” ในระดับโครงสร้างได้
พวกเขาชี้ว่า…ความท้าทายที่แท้จริงอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายด้านการเงินและการเมือง ซึ่งยังมีช่องว่างให้เงินผิดกฎหมายแทรกซึมผ่านนอมินี ธุรกิจบังหน้า และกิจกรรมที่ตรวจสอบได้ยาก
นักวิชาการด้านอาชญาวิทยาและเศรษฐศาสตร์การเมือง ต่างให้มุมมองสอดคล้องกันว่า…อาชญากรรมข้ามชาติยุคใหม่ ไม่ได้พึ่งพาความรุนแรงเป็นหลัก แต่พึ่งพาช่องโหว่ของรัฐประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเปิด การลงทุนเคลื่อนย้ายได้รวดเร็ว และตลาดอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ มักถูกใช้เป็นพื้นที่ “ฟอกขาว” ให้กับเงินผิดกฎหมาย โดยไม่ผิเดกฎหมาย
และ เครือข่ายคนกลุ่มนี้ ดำเนินการกันอย่างโจ่งครึ้ม!!!
รศ. ดร.วิทยากร เชียงกูล นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง ระบุว่า ปัญหาเงินผิดกฎหมายกับการเมืองไทย เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง หากรัฐไม่ยกระดับความโปร่งใสและแยกเงินออกจากอำนาจนโยบายอย่างจริงจัง การเลือกตั้งจะยังคงเปิดช่องให้ทุนสีเทาแทรกซึมได้
ขณะที่ ผศ. ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า การป้องกันเงินสกปรกในกระบวนการเลือกตั้งต้องอาศัยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและตรวจสอบได้จริง มิฉะนั้นประชาธิปไตยจะถูกบิดเบือนโดยอิทธิพลทางการเงิน
ในบริบทนี้ คำอธิบายที่ว่า…ไทยเป็น “เครื่องฟอกขาว” ของเงินสกปรก จึงไม่ใช่การกล่าวโทษประเทศ แต่เป็นคำเตือนเชิงนโยบายว่า ระบบตรวจสอบผู้ถือผลประโยชน์ที่แท้จริง
การควบคุมธุรกรรมมูลค่าสูง และการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ยังเป็นจุดอ่อนที่อาชญากรรมข้ามชาติใช้ประโยชน์ได้
ความเสี่ยงดังกล่าวยิ่งเด่นชัดมากยิ่งขึ้น!!?? เมื่อประเทศไทย….กำลังเข้าสู่การเลือกตั้งรอบใหม่
ในช่วงเวลาเลือกตั้ง คือ ช่วงที่เงินไหลเวียนสูงที่สุดในระบบการเมือง หากไม่มีมาตรการสกัดกั้นที่เข้มแข็ง!!! เงินผิดกฎหมายอาจแทรกซึมผ่านการสนับสนุนทางอ้อม
มีการใช้ตัวกลาง หรือกิจกรรมบางอย่าง? เพื่อนำเงินสกปรกเหล่านั้น ลงไปสู่พื้นที่การเมืองภาคสนามอย่างมากมาย โดยยากจะตรวจสอบได้ว่า…มันคือการทุจริต “ซื้อสิทธิ์ ขายเสียง”
ยกเว้น! จะมีใครให้ข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ หรือแม้แต่จะวางแผน “ล่อซื้อ” จากภาครัฐ
โอกาสของรัฐไทยในสถานการณ์นี้ คือ…การ “ยกระดับ” การจัดการจากการ “ไล่จับปลายเหตุ” ไปสู่การ “ป้องกันเชิงระบบ”
ไม่ว่าจะเป็น…การลดการใช้เงินสดในกิจกรรมทางการเมือง, การเพิ่มความโปร่งใสของแหล่งที่มาของเงินบริจาค, การทำบัญชีรายรับรายจ่ายหาเสียงให้ตรวจสอบได้จริง
รวมถึง การทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง, หน่วยงานด้านการเงิน และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
ภาคการเมืองเอง ก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน??? นักการเมืองที่ต้องการความเชื่อมั่นจากสังคม จำเป็นต้องยอมรับมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าการแข่งขันทางการเมืองเป็นเรื่องของนโยบายและวิสัยทัศน์ ไม่ใช่เรื่องของกำลังเงิน
ขณะที่ ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ควรยกระดับการกำกับดูแลภายใน เพื่อไม่ให้ถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงินโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ท้ายที่สุด เหตุปะทะชายแดนและการปราบปรามฐานสแกมเมอร์ อาจเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของการรับมือกับภัยรูปแบบใหม่
คำถามเชิงกลยุทธ์ ที่สังคมไทยจะต้องร่วมกันหาคำตอบ ไม่ใช่ว่า…ใครคือศัตรูตัวจริง?
แต่คือ…ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันทางการเงินและการเมืองเข้มแข็งพอหรือยัง?
มากพอที่จะทำให้ “เงินผิดกฎหมาย” ไม่สามารถซื้ออิทธิพล ซื้ออำนาจ และบ่อนทำลายอนาคตของประเทศได้จากภายใน
หากการเลือกตั้งครั้งนี้ สามารถจะ “ยกระดับ” มาตรฐานดังกล่าวได้จริง นั่นจะเป็น…ชัยชนะของระบบ! มากกว่าชัยชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง???
เป็นระบบที่ “ขจัด” เงินสกปรก! ได้อย่างยั่งยืน!!!.






