อัพเกรด! ระบบรัฐล่ม?

(สตง. ปรับกฎเกณฑ์ – มหาดไทยลงมือทำ – การเมืองขยับ แต่การเยียวยายังติด “คอขวด” ระบบราชการที่ยังคงล่ม! ซ้ำแล้วซ้ำเล่า???)

ต่อให้ ผู้ว่าการ สตง. จะ “ปลดล็อกกฎเข้ม” และ ปลัดฯมท. เร่งทีมทำงาน 24 ชม. แม้การขยับตัวของฝ่ายการเมือง ที่ต่างเสนอทางออก! แผนฟื้นฟูพื้นที่จมน้ำภาคใต้  แต่หาก “ระบบหลังบ้าน” ของภาครัฐ ยังเป็นตัวปัญหา “คอขวด” คงยากที่การเยียวยาประชาชนจะไหลลื่น? จำเป็นที่รัฐบาล ต้องเร่ง “อัพเกรด” แก้ปมระบบล่ม! ก่อนไหม???

สถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะ จังหวัดสงขลาและเมืองหาดใหญ่ ที่ได้สร้างความเสียหายมากมาย ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ที่มิอาจจะวัดค่าเป็นตัวเลขได้

แล้วยังสะท้อน…ความ “อ่อนด้อย” ของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยอย่างชัดเจน!

ทั้งในด้านความพร้อม ทางด้าน…โครงสร้างพื้นฐาน, การเข้าถึงความช่วยเหลือ และความสามารถของระบบราชการไทยในการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินในเวลาที่ประชาชนต้องการมากที่สุด

ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยภาคใต้ ที่ กระทรวงสาธารณสุข รายงาน ณ วันที่ 2 ธันวาคม ระบุว่า…มีสูงถึง 142 รายในพื้นที่หาดใหญ่เพียงแห่งเดียว ส่งศพคืนญาติได้เพียง 27 ราย ที่เหลืออีกกว่า 115 รายที่ยังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์อัตลักษณ์

จึงเป็นภาพสะท้อนของสถานการณ์ที่ทั้งหนักและซับซ้อน!!!

ท่ามกลาง เสียงเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากคนในพื้นที่…ที่ดังมากขึ้นเรื่อย ๆ และแรงกดดันดังกล่าว ได้พุ่งตรงไปยัง…ระบบราชการ ที่มิอาจ “รับมือ” กับงานจำนวนมหาศาลในเวลาอันสั้นได้ เหมือนทุกๆ ครั้งที่ประเทศไทย ต้องเผชิญภัยพิบัติระดับวิกฤต

ท่ามกลางภารกิจที่เกิดขึ้นพร้อมกันหลายทิศทาง โดยเฉพาะ ขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินเยียวยา ที่รัฐบาลพูดอย่างหนึ่ง แต่ในการปฏิบัติของข้าราชการ/เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ทำอีกอย่างหนึ่ง และยังหาทางออกไม่ได้ นั้น

นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กลายเป็น “ตัวละครสำคัญ” ที่ช่วยยืนยันและเปลี่ยนโจทย์ความช่วยเหลือฉุกเฉิน! จากระบบปกติ…สู่ระบบที่เน้นความยืดหยุ่นและความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก

ผ่านคำประกาศแนวทางการเบิกจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบภัยที่แตกต่างจากแนวปฏิบัติของระบบราชการไทยในหลายปีที่ผ่านมา

ผู้ว่าการ สตง. กล่าวกับ นายสรยุทธ์ สุทัศนจินดา ผู้ดำเนินรายการ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่า “ไม่ต้องกังวลจนไม่กล้าช่วย ขอเพียงมีหลักฐานที่ตรวจสอบได้ว่าเป็นการจ่ายจริงและมีตัวตน”

พร้อมเน้นว่า…เอกสารสำเนาต่าง ๆ เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือหลักฐานประกอบอื่น ๆ ให้เป็นลำดับรองลงไป หากผู้ประสบภัยอยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงยากหรือเอกสารสูญหายไปกับน้ำ

แนวทางนี้…ถือเป็นการลดภาระให้ประชาชนและท้องถิ่นอย่างแท้จริง!!!

และสำคัญกว่านั้น คือ การออกมาพูดของ นายมณเฑียร ถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงนโยบาย ว่า สตง. พร้อม “ปรับเกียร์” ให้เข้ากับภาวะวิกฤต ไม่ยึดติดกับระบบอ้างเอกสารแบบปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การช่วยเหลือหลายกรณีล่าช้าจนประชาชนเสียหายในอดีต

การ “ส่งสัญญาณ” ของ ผู้ว่าการ สตง. ครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเครื่องมือ แต่เป็นการปลดล็อก “ความกลัว” ของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่มักตกอยู่ในสภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” อยากช่วย…แต่หวั่นผลตรวจสอบย้อนหลังหากเอกสารไม่ครบถ้วนตามปกติ

ข้าราชการจำนวนมากในพื้นที่ยอมรับตรงกันว่า ความกลัวต่อการตรวจสอบจาก สตง. และหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ เป็นปัญหาที่มีมานาน และส่งผลโดยตรงต่อความเร็วในการเบิกจ่ายทุกครั้งที่เกิดเหตุฉุกเฉิน

ดังนั้น การที่ ผู้ว่าการ สตง. ออกมาย้ำว่า สตง. จะไม่ใช้มาตรฐานปกติในภาวะเช่นนี้ จึงมีผลทางจิตวิทยาอย่างมหาศาลต่อระบบปฏิบัติการในระดับพื้นที่

แต่ในอีกด้านหนึ่ง “สัญญาณ” อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ??? เพราะแนวทางนี้ ยังถูกสื่อสารผ่านข่าวประชาสัมพันธ์และการให้สัมภาษณ์ มากกว่า…การออกเป็นเอกสารทางราชการอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรที่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ต้องการ เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันเมื่อถึงเวลาตรวจสอบย้อนหลัง

มันจึงกลายเป็น “เงาใหญ่” ที่ยังคงปกคลุมอยู่ในใจของเจ้าหน้าที่ด่านหน้า แม้คนระดับ ผู้ว่าการ สตง. จะออกมาประกาศผ่อนคลายกฎ แต่ความรู้สึกไม่มั่นคงในเชิงกฎหมายยังคงอยู่!!!

และนี่คือ…เหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายฝ่าย ยังคงลังเลและระมัดระวัง แม้อยากช่วยประชาชนอย่างเต็มที่ก็ตาม

ขณะเดียวกัน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะ หน่วยงานกำกับดูแลท้องถิ่นทั้งระบบ ได้ลงพื้นที่พร้อมสั่งการเชิงรุก เพื่อตรวจดูระบบรับลงทะเบียนเยียวยา 9,000 บาท ที่เทศบาลยมลุงลัง จังหวัดสงขลา

พร้อมกับ สั่งการให้มีการคีย์ข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อลดงานค้างสะสม และเร่งให้เงินถึงมือประชาชนโดยเร็ว

ปลัดฯมหาดไทย ยอมรับว่า…ปัญหาสำคัญที่สุดในเวลานี้ คือ “ระบบหลังบ้านของ ปภ.(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ที่ไม่เสถียร” ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ต้องคีย์ข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า!!??

เพราะ…ระบบล่ม! เป็นระยะๆ แม้ประชาชนจะลงทะเบียนครบถ้วนแล้วก็ตาม

ปลัดฯมหาดไทย ย้ำว่า “เอกสารไม่จำเป็นไม่ต้องแล้ว ขอแค่บัตรประชาชนและพร้อมเพย์ ส่วนคนที่ไม่มีเอกสาร ท้องถิ่นมีระบบเทียบใบหน้าในทะเบียนราษฎร์อยู่แล้ว”

นี่คือ ท่าทีที่สอดรับกับ ผู้ว่าการ สตง. และเป็นสัญญาณจากฝ่ายปฏิบัติการว่า…รัฐพร้อมเดินเร็วไปด้วยกัน!!!

แม้ “กฎใหญ่” จะถูกปรับ และแม้ท้องถิ่นจะได้รับ “คำสั่ง” ให้เร่งปฏิบัติการตามสภาพเร่งด่วน แต่ทว่าสภาพการณ์ความเป็น “คอขวด” ยังคงจะมีอยู่ และกลายเป็นประเด็นให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ จากผู้ที่อยู่หน้างานจริง

โดยเฉพาะการลงพื้นที่ของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน โดยเป็นเขาที่ระบุว่า…ระบบของ ปภ. ที่เทศบาลต้องใช้ในการคีย์ข้อมูลเยียวยา “ล่มให้เห็นต่อหน้าหลายรอบ” แม้อินเทอร์เน็ตในพื้นที่ยังใช้งานได้ปกติ

สะท้อนว่า…ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พื้นที่ แต่เป็น “ระบบกลาง” ของรัฐ

เพราะแม้ “ระบบ…กฎเกณฑ์” จะผ่อนปรนลง แต่ประเด็นที่กลายเป็นประเด็นปัญหา “คอขวด” กลับอยู่ในขั้นตอนของเทคนิคที่ทำให้การดำเนินงานสะดุด! ในทุกขั้นตอน

กระทั่ง ไม่อาจเป็นความคาดหวังให้กับประชาชนได้ อีกทั้ง ยังไปเพิ่มภาระงานที่ “หนักอึ้ง!” ให้กับข้าราชการท้องถิ่น ที่ต้องทนรับแรงกดดันแทนส่วนกลางอย่างที่สุด!!!

นอกจาก หัวหน้าพรรคประชาชน แล้ว ฝ่ายการเมืองอื่น ๆ ต่างก็เริ่มขยับตัว ล้อไปกับวิกฤตที่กำลังดำเนินอยู่ โดยเฉพาะ ในแง่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบหนัก

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังหารือกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ว่า “รัฐบาลขยับตัวเร็วเป็นเรื่องดี แต่ต้องมีมาตรการหลากหลาย ฟังเสียงคนพื้นที่ และปรับให้สอดคล้องกับความจริง เพราะโรงงานในพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักมาก”

เขาย้ำว่า…การฟื้นฟูต้องทำให้ธุรกิจเดินต่อได้เร็วที่สุด! เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจในพื้นที่ “ล้ม! เป็นโดมิโน?”

ข้อเสนอของ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงชี้ไปที่ มาตรการ “เฉพาะพื้นที่” หรือ targeted recovery มากกว่าจะเป็น “มาตรการกลาง” ที่ใช้เหมือนกันทั่วประเทศ ซึ่งมักไม่ตอบโจทย์ความหลากหลายของพื้นที่ประสบภัยอย่างแท้จริง

อีกด้านหนึ่ง พรรคภูมิใจไทย และรัฐบาล ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กำลังถูกจับตามองถึงการ “แผนการ” เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมหาวิกฤตอุทกภัยรอบนี้ ภายใต้กรอบงบประมาณแผ่นดินที่มี…

ที่สุด! รูปแบบ…วิธีการจัดการ…และงบประมาณที่รัฐบาลจะนำมาใช้ มันจะเป็นอย่างไร??? เนื่องจากความเสียหายทางเศรษฐกิจและความต้องการงบช่วยเหลือที่เพิ่มขึ้นทุกวัน

สัญญาณจากรัฐบาล ที่ยัง “ไม่ฟันธง!” ให้ชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่อง กรอบงบฉุกเฉิน!!! ทำให้หลายฝ่ายยังตั้งคำถามดังๆ ตามมาว่า…รัฐบาลมีความพร้อมด้านงบประมาณจะเพียงพอ ต่อการรับมือสถานการณ์ที่กำลังขยายวงกว้างหรือไม่? อย่างไร?

เมื่อประมวลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกมิติ ของการขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือและเยียวผู้ประสบภัยฯของทุกฝ่ายในห้วงเวลานี้ ตั้งแต่…

ผู้ว่าการ สตง. ที่ปรับกฎใหญ่ ลดภาระเอกสาร เพื่อเปิดทางให้ท้องถิ่นเดินเร็วขึ้น

กระทรวงมหาดไทย ที่เร่งปฏิบัติในพื้นที่โดยตรง

ไปจนถึง…ฝ่ายการเมือง ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่เสนอนโยบายเสริม

ภาพรวม มันจึงสะท้อนว่า…แม้ภาครัฐกำลังเดินเกม “3 ระดับ” ในการแก้ปัญหาวิกฤตครั้งนี้ คือ 1.ปลดล็อกกฎ  2.ลงมือในพื้นที่ และ 3.ขยับเกมการเมือง เพื่อรองรับผลกระทบเชิงโครงสร้าง

และแม้ว่า…ทุกฝ่ายจะแสดงความตั้งใจจริงอย่างชัดเจน วางทิศทางได้สอดคล้อง และมีการส่งสัญญาณจากระดับนโยบาย ที่ดูเหมือนจะ “เปิดกว้าง” มากกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา

ทว่า “กลไกเบื้องหลัง” ที่ใช้ขับเคลื่อนภารกิจเบื้องหน้า กลับยังไม่พร้อมอย่างเต็มที่!!!

ทั้งในด้าน…ระบบเทคโนโลยีที่ไม่เสถียร, จำนวนบุคลากรในท้องถิ่นที่ไม่สอดคล้องกับภาระงานที่ทวีคูณ และความไม่มั่นใจต่อการตรวจสอบย้อนหลัง ที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนถึงระดับ “คุ้มกันทางกฎหมาย” ให้กับเจ้าหน้าที่…เกิดความเชื่อมั่นได้จริง

ท้ายที่สุด! ภาพรวมของสถานการณ์นี้ มันได้สะท้อน “บทเรียนสำคัญ” ว่า…การปรับกฎในระดับใหญ่ และการเร่งปฏิบัติในระดับพื้นที่ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในภาวะวิกฤต

แต่มันจะไม่เกิดผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ได้เลย หาก “ระบบหลังบ้าน” ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็น…ด้านเทคโนโลยี, กฎหมาย, บุคลากร และขั้นตอนตรวจสอบ ยังไม่ถูก “ยกระดับ!” ไปพร้อมกัน

วิกฤตครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า…การเยียวยาประชาชน เป็นเรื่องของ “ความเร็วและความถูกต้อง” ที่ต้องเดินคู่กันไป โดยไม่มีฝ่ายใด? แบกรับความเสี่ยงเพียงฝ่ายเดียว!

และ จนกว่า “คอขวด” เชิงโครงสร้างเหล่านี้ จะได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง???

การ “ปลดล็อก” ด้านหน้า…อาจเป็นเพียงความคล่องตัวชั่วคราว ที่ยังไม่อาจนำไปสู่…การเยียวยาที่รวดเร็ว เท่าเทียม และปลอดภัยสำหรับทุกฝ่ายอย่างแท้จริง

การออกมาของ ผู้ว่าการ สตง., ปลัดฯมหาดไทย รวมถึงฝ่ายการเมือง ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝ่ายค้าน แม้กระทั่ง “สื่อใหญ่” ก็มิอาจจะทำให้ปัญหา “คอขวด” จากการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็น…จากส่วนกลาง หรือท้องถิ่น คลายตัวลงไปได้

ตราบใดที่ “หลังบ้าน” ของระบบราชการไทย ยังห่วยแตก??? และไม่ถูกอัพเกรด!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password