ครม. อนุมัติมาตรการการเงิน ช่วยเหลือ–เยียวยาผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

ครม.ไฟเขียว หนุน ก.คลัง เร่ง มาตรการพักหนี้–ปลอดดอกเบี้ย พร้อมสินเชื่อฉุกเฉินและฟื้นฟู สูงสุด 1 ล้านบาทต่อราย ช่วยลดภาระประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 12 จังหวัดภาคใต้ เปิดให้ผู้ประสบภัยยื่นขอความช่วยเหลือได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้น หวังเร่งฟื้นฟูความเป็นอยู่และกิจการให้กลับมาดำเนินได้โดยเร็ว
นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะ โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2568 และได้ขยายเป็นวงกว้างครอบคลุม 12 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินบ้านเรือน และกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ และการดำเนินธุรกิจของประชาชนเป็นอย่างมาก
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ให้ความเห็นชอบมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ตามประกาศกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. โครงการช่วยเหลือ พักเงินต้น ยกดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ (โครงการช่วยเหลือฯ) เพื่อลดภาระการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIs) ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกหนี้ SFIs ให้สามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว โดยลูกหนี้ได้รับการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 12 เดือน โดย SFIs ยกเว้นการคิดดอกเบี้ยในช่วงเวลาการพักชำระหนี้ (คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี) และให้ความช่วยเหลือรายละไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อ SFIs โดยลูกหนี้ยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการภายในวันที่ 31 มกราคม 2569
2. โครงการสินเชื่อเพื่อเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ (โครงการสินเชื่อเพื่อเยียวยาฯ) เพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยมีสภาพคล่องฉุกเฉินในการดำรงชีพ หรือใช้เป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ หรือใช้เป็นเงินทุนในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรือสถานประกอบการ โดย SFIs สนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเติมให้ลูกหนี้เดิมภายใต้วงเงินกู้เดิมกับ SFIs วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี เป็นระยะเวลา 1 ปี ลูกหนี้เดิมของ SFIs สามารถยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569
3. โครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ (โครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูฯ) เพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยมีเงินทุน เพื่อต่อเติมหรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย หรือฟื้นฟูการประกอบอาชีพ โดย SFIs สนับสนุนสินเชื่อเพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยมีเงินทุน เพื่อต่อเติม หรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย หรือฟื้นฟูการประกอบอาชีพ SFIs วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี เป็นระยะเวลา 1 ปี ผู้ประสบอุทกภัยสามารถยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2569
สำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) ที่ประสบอุทกภัย คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังประสานธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสอดคล้องกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือของ SFIs โดยเร็วต่อไป
นายวินิจ กล่าวว่า กระทรวงการคลังเห็นว่ามาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ดังกล่าวจะสามารถช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยได้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายทั้งประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้ให้มีภาระต้นทุนลดลงและมีเงินทุนหมุนเวียน สามารถฟื้นฟูกิจการ ปรับปรุงและซ่อมแซมที่พักอาศัย อาคาร โรงงาน เครื่องจักร เพื่อให้สามารถกลับมาประกอบอาชีพและดำเนินธุรกิจต่อไปได้
โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบสามารถติดต่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งเพื่อขอรับความช่วยเหลือได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุดและไม่เกิดผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ต่อไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
o ธนาคารออมสิน โทร. 02 299 8000 หรือสายด่วน 1115
o ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555
o ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร. 02 645 9000
o ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 02 265 3000 หรือสายด่วน 1357
o ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โทร. 02 169 9999
o ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 02 650 6999 หรือสายด่วน 1302.






