กู้วิกฤต! เมืองจมน้ำ?

(จากถมทะเลไปฟูก๊วก สู่เขื่อนป้องกันกรุงเทพฯจมน้ำ : ยุทธศาสตร์เอาตัวรอดท่ามกลางศตวรรษแห่งน้ำทะเลสูงขึ้น)

เวียดนามเดินหน้า “ถมทะเล” ทำถนนไปเกาะฟูก๊วกแบบไร้แรงต้าน แต่ไทยยังลังเลต่อแนวคิดสร้าวเขื่อนกันน้ำป้องกันกรุงเทพฯจมทะเล “รัฐบาล 4 เดือน” ที่อาจได้ต่ออายุเป็น 4 ปี จะเดินเกม “คิดแล้วทำ” กับเรื่องนี้อย่างไร? ภายใต้กรอบคิดใหม่ “รัฐถือโครงการ – เอกชนพัฒนาเมือง – ประชาชนร่วมกำกับ” ที่อาจเป็นคำตอบของไทยในการสู้….ศตวรรษเมืองจมน้ำ

(อ่านฉบับแปลภาษาอังกฤษด้านล่าง / The English version of the article is provided below.)

สังคมไทยและสังคมโลก! เคยได้ยินข่าว…เส้นทางรถไฟความเร็วสูง วิ่งจากจีนตอนใต้ ผ่าน สปป.ลาว เชื่อมเข้าไทย จาก จ.หนองคาย วิ่งสู่กรุงเทพฯ ก่อนต่อลงใต้…ไปเชื่อมกับมาเลเซีย แล้วไปสิ้นสุดที่สิงคโปร์

ปลายด้ามข้ามขวานทอง ยังมีอีก 2 โปรเจ็กต์ยักษ์…ให้ได้คิดฝัน ทั้ง โครงการแลนด์บริดจ์เชื่อม 2 ฝั่งทะเลไทย “อ่าวไทย – อันดามัน” และ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC)

ทั้งหมด…มีความเชื่อมโยงถึงกันอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นความสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่ยกระดับประเทศไทย ให้ก้าวสู่ความเป็นประเทศชั้นนำของภูมิภาคนี้

ฝั่งไทยคิด! เพื่อนบ้านอย่าง…เวียดนามก็คิด? แต่เขาคิดแล้วลงมือทันที แตกต่างจากไทยอย่างสิ้นเชิง!!!

ไม่ว่า…3 โปรเจ็กต์ยักษ์ของไทยจะทำได้หรือไม่? ทำได้แค่ไหน? แต่สำหรับเวียดนาม…ไปต่อไม่รอแล้ว!!??

โครงการท่าเรือน้ำลึก โดยเฉพาะ ท่าเรือก๋ายแม๊บ-ถิหว่าย (Cai Mep-Thi Vai) จังหวัดบ่าเสียะ-หวุงเต่า ทางตอนใต้ของเวียดนาม ที่ว่ากันว่า…เป็นท่าเรือสีเขียวที่มีความสำคัญในระดับโลก สามารถรองรับเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดได้ เชื่อมต่อเข้ากับโครงการแลนด์บริดจ์ของไทยได้เป็นอย่างดี

ท่าเรือนี้ ถูกยกระดับให้เป็น “ศูนย์กลางโลจิสติกส์” ในภูมิภาคนี้ เนื่องเพราะ…ตั้งอยู่ในทำเลที่เอื้อต่อการเป็น ศูนย์กลางการขนส่งและการกระจายสินค้าต่อไปยังส่วนอื่นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายโลจิสติกส์ที่กำลังเติบโตของเวียดนาม

แถมยังสามารถกระจายสินค้าต่อไปยัง จุดหมายปลายทางในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

ล่าสุด รัฐบาลเวียดนาม “แก้เผ็ด” ทางการกัมพูชา ที่มีแผนจะ ขุดคลองฟูนัน เตโช (Funan Techo Canal) โครงการเมกะโปรเจกต์ของกัมพูชา โดยกำหนดจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเส้นทางเดินเรือเชื่อมต่อโดยตรง! ระหว่างแม่น้ำโขงกับอ่าวไทย โดยไม่สนใจเสียงเตือนของเวียดนาม

นั่นจึงทำให้เกิด…โครงการถมทะเล สร้างสะพานข้ามจากแผ่นดินใหญ่บริเวณเมืองฮาเตียน (Ha Tien) และมีปลายทางอยู่ที่เกาะฟูก๊วก (Phu Quoc) ระยะทางราว 45-47 กม.

โครงการนี้ จะ “ปิดโอกาส” ของโครงการขุดคลองฟูนัน เตโช ของกัมพูชา ในทันที!!!

ในเมื่อ รัฐบาลกัมพูชา…ปฏิเสธที่จะคุยกับเวียดนาม ประกาศเดินหน้าขุดคลองออกอ่าวไทย ไม่สนใจปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะการ “แย่งน้ำ” จากแม่น้ำโขงที่จะไหลออกปากอ่าวเวียดนาม

ยุทธการ…สางแค้นและเอาคืน! จึงได้ปรากฏกายให้เห็นในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

เวียดนามคิด…เวียดนามลงมือทำทันที!!!

แต่ไทยคิด…คิด…คิด…แล้วก็คิด! แต่ลงมือทำไม่ได้? ไหนจะเป็นเรื่องเงินลงทุนจำนวนมหาศาล ทว่าเรื่องนี้…ก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่โต จนต้องล้มความคิด…เลิกโครงการกันไป

เพราะโลกความเป็นจริง…ความเป็นเจ้าพื้นที่ (ที่ดิน/สถานที่) เราสามารถจะเลือกลงทุนในบางโครงการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความมั่นคงของประเทศ แล้วเปิดให้ทุนต่างชาติ…เข้ามาลงทุนในลักษณะ ประมูลงานตามเงื่อนไขแห่งสัญญา 30-50 ปี

หรือจะเป็นการ ร่วมทุนแบบ PPP ภาครัฐและเอกชน ก็จัดสรรและแบ่งปันกันได้อย่างเหมาะสม

ที่น่าจะติดขัดจนเป็นปัญหาจริงๆ ก็น่าจะเป็นเพราะหลายสาเหตุ??? และหนึ่งในนั้น ก็มีจาก แรงกดดันของพวก NGO!

ทว่าแรงต้านของ “องค์กรพัฒนาเอกชน” เกิดขึ้นได้ยาก! ในเวียดนาม ในจีน แม้กระทั่ง เพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว แต่กับไทย…ถือเป็น “ขนมหวาน” ของพวก NGO

เห็นโครงการถมทะเล…สร้างถนนเชื่อมเกาะฟูก๊วก เข้ากับแผ่นดินใหญ่ของเวียดนาม ก็ให้ย้อนนึกไปถึงแนวคิดของ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร กับโครงการถมทะเล…สร้างเมืองใหม่กลางอ่าวไทย ในชื่อ “เมืองเกาะไข่มุก” ทั้ง 9 แห่ง

เป้าหมายไม่เพียงเป็น การสร้างเมืองใหม่ หากยังเป็นการ สร้างกำแพงถนน ระดับความสูงเกิน 12-15 เมตร เพื่อใช้เป็นทั้งเส้นทางเชื่อมแผ่นดินใหญ่กับเมืองใหม่…เกาะไข่มุก และยังใช้เป็นเขื่อนยักษ์ “กั้นน้ำทะเล” ที่กำลังกัดเซาะแผ่นดินไทยบริเวณปากอ่าวฯ

กรุงเทพฯและจังหวัดรอบๆ อ่าวไทย ซึ่งมีระดับความสูง…ไม่สูงเกินระดับน้ำทะเลมากนัก กำลังเสี่ยง! ที่จะจมน้ำในทุกๆ ปี

วลี “คิดแล้วทำ” ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะ “หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย” น่าสนใจว่า…หากเขาได้กลับมาบริหารประเทศ มากกว่าการเป็น “รัฐบาล 4 เดือน” จะคิดและทำอย่างไรกับการปกป้องกรุงเทพฯ…เมืองหลวงที่กำลังใกล้จมน้ำ!!!

ไทยไม่ใช่ “รัฐรวมศูนย์” เหมือนจีน, เวียดนาม และสปป.ลาว ที่คิดจะทำอะไร…ก็ทำได้เลย!

แม้ นายอนุทิน…จะมีสโลแกนการเมือง “คิดแล้วทำ” ก็ใช่ว่า…จะทำกันได้ง่ายๆ อาจต้องหันไปถาม “ขาใหญ่ – NGO” ในเมืองไทย กันเสียก่อนหรือไม่???

กรณีของ เวียดนาม…หากมองให้ลึกลงไป พวกเขา “ไม่รอให้ภัยคุกคามมาถึงก่อนจึงขยับ!” แต่เลือก เดินเกมเชิงรุก! ใช้โครงสร้างเมกะโปรเจ็กต์ เป็น…เครื่องมือสร้างนวัตกรรมท่องเที่ยว ดึงเงินลงทุนต่างชาติ สร้างเมืองท่าใหม่ และสร้างจุดยุทธศาสตร์ในทะเลจีนใต้

ทั้งหมดนี้…เกิดขึ้นในช่วงที่ ฟูก๊วก ถูกผลักดันให้เป็น “แม่เหล็ก” ด้านการท่องเที่ยวระดับเอเชีย และเป็นพื้นที่ทดลองของนโยบายเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลเวียดนาม

กลไกที่ทำให้เวียดนาม “ทำได้เร็ว” เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ…
หนึ่ง รัฐรวมศูนย์ที่สามารถตัดสินใจได้ในระดับนโยบายโดยไม่ต้องผ่านการต่อรองกับหลายฝ่าย
สอง โครงสร้างอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและการยกระดับเมืองที่มีลำดับชั้นชัดเจน
สาม ระบบการเมืองที่จำกัดพื้นที่ของ NGO และกลไกตรวจสอบจากภาคประชาสังคม ทำให้การคัดค้านในประเด็นเชิงสิ่งแวดล้อมไม่สามารถเติบโตเป็นกระแสระดับชาติได้ง่าย

ในทางกลับกัน! ประเทศไทยกลับอยู่ในโครงสร้างทางการเมืองและสังคมที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง!

กรุงเทพฯ…เมืองที่มีสัดส่วนทางด้านเศรษฐกิจมากกว่า 35% ของ GDP ประเทศ กำลังเผชิญปัญหาเรื้อรัง ทั้งดินทรุดลงเฉลี่ยปีละ 1 เซนติเมตร, ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, พื้นที่ชายน้ำอ่อนแอ, ระบบระบายน้ำยังอิงแนวคิดยุคก่อน และการบริหารจัดการน้ำท่วม! ยังเป็นแบบ “ตามเหตุการณ์” ไม่ใช่ “ป้องกันระยะยาว”

หากไม่ปรับทิศทางแก้ไข…ประเทศไทยอาจต้องเผชิญ “น้ำท่วมถาวร” ในบางเขตของกรุงเทพฯ ช่วงปลายศตวรรษนี้

ซึ่งมันจะ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อความเป็น…ศูนย์กลางเศรษฐกิจ, การคมนาคม, ทรัพย์สิน และคุณภาพชีวิตของประชาชนหลายล้านคน

อย่างไรก็ตาม นาทีนี้…ไทยกลับยังไม่มี “แผนยุทธศาสตร์ป้องกันเมืองในศตวรรษทะเลสูงขึ้น” ที่เป็นรูปธรรม! แตกต่างจากสิงคโปร์…ที่วางแผนในการถมทะเลอย่างเป็นระบบ เป้าหมายเพื่อการขยายสนามบิน, ท่าเรือ และสร้างแนวป้องกันน้ำในตัว

หรือ…เนเธอร์แลนด์ที่ลงทุนใน Delta Works ต่อเนื่องหลายทศวรรษ ภายใต้ “ฉันทามติ” ของคนทั้งประเทศ เพื่อเดินหน้าสร้าง “โครงสร้างป้องกันน้ำท่วม” โดยทำให้เป็น…โครงสร้างความมั่นคง มิใช่…งานก่อสร้างทั่วไป

กับแนวคิดสร้าง “เมืองเกาะไข่มุก”…เกาะเทียม 6–9 เกาะ เชื่อมด้วยเขื่อนกันทะเลยาวคู่ขนานไปตลอดแนวของแผ่นดินใหญ่ จาก…กรุงเทพฯ–สมุทรสาคร–สมุทรปราการ เพื่อใช้เป็นทั้ง “กำแพงกันน้ำ” และ “เมืองใหม่”

แต่แนวคิดนี้…ไม่เคยขยับ! ไปสู่ขั้น “วางยุทธศาสตร์” ได้จริง? เนื่องจาก…ติดความขัดแย้งทางการเมือง, ความหวาดระแวงของประชาชน, การกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน และระบบราชการที่ไม่สามารถบูรณาการงานระดับชาติได้เพียงพอ

รวมถึงแรงต้านจาก NGO

ในจังหวะนี้ รัฐบาล…ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ที่ผ่านการบริหารประเทศมาแล้วครึ่งทาง (เหลืออีกครึ่งทาง หรืออีก 2 เดือน) คงต้องเผชิญโจทย์สำคัญที่ว่า…จะสร้าง “ผลงานระดับประวัติศาสตร์” อย่างโครงการป้องกันกรุงเทพฯ นี้ได้หรือไม่???

โดยที่…ไม่ตกเป็น “เป้าโจมตี” ว่า…เป็นเพียงการนำไอเดียของ “รัฐบาลเพื่อไทย” กลับมาใช้ใหม่

หาก นายกฯอนุทิน จะประกาศเดินหน้าโครงการอย่างตรง ๆ โดย…ไม่มีกรอบคิดใหม่! ก็อาจถูกกล่าวหาว่า… “ลอกการบ้าน” หรือ “คิดเองไม่เป็น”

แต่ถ้า หลีกเลี่ยง…ไม่แตะโครงการป้องกันกรุงเทพฯจมน้ำ เอาเสียเลย ก็ยิ่งจะเสี่ยงต่อการจะถูกมองว่า “ไร้ภาวะผู้นำ” และ ปล่อยให้กรุงเทพฯเข้าสู่ภาวะวิกฤต…แบบไร้แผนการใดมารองรับ!!??

คำตอบเชิงยุทธศาสตร์? จึงอยู่ที่ “วิธีเริ่มต้น” ไม่ใช่ “ไอเดียเป็นของใคร”

“รัฐบาลอนุทิน” ควร “ตั้งต้น” จากโจทย์ที่ใหญ่กว่า ก็คือ…การประกาศ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางทะเล และแผนป้องกันเมืองหลวงแห่งศตวรรษที่ 21”

ซึ่งถือเป็น…โจทย์ใหม่ ไม่ใช่การ “รื้อ” ไอเดียเก่า มาใช้…

วิธีนี้…จะทำให้การถกเถียง ย้ายจากสนามการเมือง มาอยู่ในสนามของ “ความอยู่รอดของชาติ” และ “ตัดโอกาส” ที่จะถูกกล่าวหาว่า “จำลองโมเดล” ของพรรคเพื่อไทย มาทั้งดุ้น!!!

เมื่อ “เริ่มต้น” ด้วยโจทย์ที่ถูกต้อง รัฐบาลก็จะสามารถ “เดินหน้า” ในกรอบที่ทันสมัยมากขึ้น เช่น การจัดตั้ง “สภายุทธศาสตร์ความมั่นคงทางน้ำและชายฝั่งแห่งชาติ”, การจัดทำ SEA (Strategic Environmental Assessment หรือ กระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์) ระดับอ่าวไทย, การเชิญผู้เชี่ยวชาญนานาชาติเข้าร่วมออกแบบโครงสร้างป้องกันน้ำ, การกำหนดรูปแบบบริหารจัดการที่เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน

และ สิ่งสำคัญที่สุด! คือ การใช้…โมเดล “รัฐถือโครง–เอกชนพัฒนาเมือง–ประชาชนร่วมกำกับ” เพื่อให้เกิดความโปร่งใส, ลดความหวาดระแวง และกระจายความรับผิดชอบอย่างสมเหตุสมผล

หาก นายกฯอนุทิน สามารถสื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจ ว่า…รัฐบาลกำลังทำในสิ่งที่รัฐบาลอื่นไม่กล้าทำ

นั่นคือ…การเริ่มวาง “ผังความอยู่รอดของประเทศ” ที่ไม่ใช่แค่โครงการก่อสร้าง!!!

สิ่งนี้…อาจทำให้ นายอนุทิน กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เพียง “พูดแล้วทำ” แต่เป็นนายกรัฐมนตรีที่ “ทำแล้วประเทศอยู่รอด” และจะไม่ถูกกล่าวหาว่า…ลอกเลียนแบบใคร

เพราะเนื้อหาของงาน…ไม่ใช่เพียงการสร้างเกาะ แต่คือ…การออกแบบอนาคตชาติ ในศตวรรษที่จะต้องเผชิญกับภาวะน้ำทะเลสูงขึ้น!!! อย่างที่ไม่มีรัฐบาลและนายกฯคนไทย กล้าทำ!!!??.

From Phu Quoc to Thailand’s Pearl Islands: Strategic Choices in an Era of Rising Seas

Vietnam’s construction of a 40-kilometer sea-reclamation road to Phu Quoc illustrates how a centralized political system can execute strategic megaprojects rapidly and with minimal public resistance. This stands in contrast to Thailand, where discussions about a coastal mega-barrier and a proposed chain of artificial “Pearl Islands” remain politically sensitive—even as Bangkok faces accelerating land subsidence, rising seas, and growing climate-driven flood risks.

Across Asia and Europe, leading coastal cities have already chosen decisive action. Singapore expanded its landmass by more than 20% to integrate airports, ports, and flood defenses. Hong Kong built Chek Lap Kok Airport on resilient reclaimed land. The Netherlands constructed the Delta Works and Maeslantkering, redefining national survival through engineering. Thailand, however, still lacks a unified long-term coastal security plan, despite the existential risks confronting its capital.

With Prime Minister Anutin Charnvirakul now four months into office under the banner “Say it, do it,” Thailand enters a crucial moment. If he pushes too aggressively on the Pearl Islands concept, he risks claims from the Pheu Thai Party and the Shinawatra family that the idea was theirs first. If he avoids the issue, he risks appearing passive while Bangkok inches toward chronic flooding.

The strategic solution is to shift the narrative away from partisan ownership and toward national climate security. Instead of starting with “Should we build islands?”, the Anutin administration can begin with the broader question: “How will Thailand protect Bangkok for the next 100 years?” This reframing elevates the issue above party politics and makes it impossible to dismiss as imitation.

A modern governance model is essential: “The state owns the structure, the private sector develops the city, and the people provide oversight.”


This approach positions the state as the guarantor of national security (sea walls, floodgates, and primary infrastructure), the private sector as the engine of urban development, and civil society as the guardian of transparency and environmental integrity.

By establishing a National Coastal and Water Security Council, commissioning a Thai Gulf–wide SEA, and involving international experts, the government can build legitimacy while charting a long-term path for climate resilience.

If Anutin can articulate that Thailand is not merely building land—but building its survival blueprint—he may emerge not only as a leader who “says and does,” but as the leader who secured Bangkok’s future. In an age of rising seas, history will not remember who proposed artificial islands first, but who ensured the nation’s long-term survival.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password