สยบ! ปฏิปักษ์


ขาที่ 7 ของทหารไทย สูญเสียไปเพราะ “กับระเบิด” กัมพูชา! กลายเป็นฉากจริงแห่งสายสัมพันธ์อ่อนไหว “ไทย–กัมพูชา” เมื่ออีกฝ่ายพร้อมเป็น “ปฏิปักษ์” ก่อภัยต่อความมั่นคงและอธิปไตยไทย ไม่แปลก! หาก “รัฐบาลอนุทิน” ประกาศจุดยืนชัด! ไม่อยู่ “ใต้เงา” ความรุนแรง…โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมของใคร? ยุทธการ “สยบ! ปฏิปักษ์” ตามแผนยุทธศาสตร์แห่งรัฐ เพื่อยุติภัย…อันเป็น “พลังใหม่” วาระแห่งชาติ จึงบังเกิดขึ้น!!!
ทหารไทยสูญเสีย “ขาที่ 7” ให้กับ “กับระเบิด” ของทหารกัมพูชา ที่แอบลอบ “ตัดรั้ว” ลวดหนามของฝั่งไทย เมื่อคืนวันที่ 9 พ.ย.2568 ก่อนจะ บึ้ม! “ขาขวา” ของ จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ ทหารสังกัด กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 16 ขณะปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนบนเส้นทาง บริเวณทิศตะวันออกห้วยตามาเรีย ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในเช้าวันรุ่งขึ้น ( 10 พ.ย.)
ทั้งที่ 2 ชาติ… เพิ่งบรรลุข้อตกลงสันติภาพที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมี นายกฯมาเลเซีย และ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อ 26 ต.ค. หรือแค่ 2 สัปดาห์ เท่านั้น…
ฮุน เซน และทหารเขมร…ช่างโหดเหี้ยมนัก!!!
เหตุการณ์ล่าสุดนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “อุบัติเหตุชายแดน” หากแต่คือ จุดแตกหัก! ของสิ่งที่เรียกว่า “สันติภาพตามปฏิญญา” ระหว่างกัน
หลักฐานในพื้นที่ชี้ชัดว่า…ทุ่นระเบิดที่ฝังอยู่ในแนวห้วยตามาเรีย นั้น เป็น “ของใหม่” ถูกวางหลังจากข้อตกลงสันติภาพมีผลบังคับใช้ และตั้งอยู่ในแนวรั้วที่ฝ่ายไทยเป็นผู้รับผิดชอบเฝ้าระวัง!
มันคือ…การจงใจ “วางกับระเบิด” ในพื้นที่ลาดตระเวนของทหารไทย!!??…
เมื่อข่าวนี้ รายงานถึง ศูนย์บัญชาการส่วนกลาง และเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ที่ได้สั่ง ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันนี้ (11 พ.ย.) ทันที!
เพื่อ…ประเมินสถานการณ์และกำหนดมาตรการตอบสนอง ซึ่งถือเป็น “ปฏิกิริยา” ที่รวดเร็วและเฉียบขาดที่สุด! ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การบริหารความมั่นคงของรัฐบาลพลเรือน
การตัดสินใจ “ระงับ!” การปฏิบัติตามข้อตกลง Joint Declaration กับกัมพูชา ถือเป็น…การประกาศให้ฝ่ายตรงข้าม รู้ว่า…ไทยจะไม่ยอมให้ “ความสงบปลอม” ถูกใช้เป็นเกราะกำบังในการละเมิดอธิปไตยของชาติ อีกแล้ว…
ในขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ นำโดย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว “รัฐมนตรีว่าการฯ” ได้ติดต่อประท้วงโดยตรง! กับ นายปรัก สุคน รมต.ประเทศ กัมพูชา พร้อม ส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ เพื่อยืนยันว่า…
การวางกับระเบิดในเขตไทย เป็นการละเมิด “สปิริตแห่งสันติภาพ” ที่ 2 ประเทศได้ให้คำมั่นต่อกัน ต่อหน้าผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศ…มาเลเซียและสหรัฐอเมริกา
เหตุการณ์นี้…ทำให้ ทางการไทย ตัดสินใจ ระงับ! การส่งตัวเชลยศึกกัมพูชา 18 นาย ที่ถูกควบคุมตัวไว้ตั้งแต่เหตุปะทะรอบก่อนหน้าออกไปก่อน เพื่อใช้เป็น…เครื่องมือทางการเมืองระหว่างการทบทวนข้อเท็จจริง
ในระดับยุทธศาสตร์ เหตุการณ์ครั้งนี้ ชี้ให้เห็นความจริงอย่างหนึ่งว่า “กัมพูชาไม่ได้ต้องการสันติภาพ หากแต่ต้องการความได้เปรียบภายใต้กรอบสันติภาพ” ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนเป็นมิตรกลายเป็นเพียงฉากบังหน้า???
การวางกับระเบิดใหม่ในพื้นที่ที่เคยเคลียร์แล้ว คือ การส่งสัญญาณว่า…ฝ่ายกัมพูชาไม่ยอมรับขอบเขตความมั่นคงร่วม แต่กลับเลือกใช้กลยุทธ์ “ก่อกวนในเงามืด” เพื่อให้ไทยเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ตลอดเวลา
ในทางความมั่นคง วลี “ปฏิปักษ์” จึงไม่ใช่คำเดียวกับ “ศัตรู” ศัตรูยิงปืนใส่เรา แต่หมายความถึง…ผู้ที่กัดกร่อนเราอย่างช้า ๆ ผ่านระบบ ผ่านพฤติกรรม ผ่านนโยบาย
“ปฏิปักษ์” จึงมิต่างจาก…ภัยเชิงระบบที่ไม่จำเป็นต้องประกาศสงคราม แต่ทำให้ประเทศต้องระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา
ไทยในวันนี้…จึงต้องยอมรับว่า เราไม่ได้อยู่ในภาวะสงคราม แต่ก็ไม่อยู่ในภาวะสันติภาพอีกต่อไป!!!
กัมพูชา…สวมบทเป็น “ปฏิปักษ์” ต่อไทย ใน 3 มมิติที่ซับซ้อน???
หนึ่ง คือ…ภัยเชิงพื้นที่ที่เกิดจากการ “ละเมิด” แนวพรมแดน ด้วยการลักลอบตัดรั้วและวางระเบิดใหม่
สอง คือ…ภัยเชิงจิตวิทยา ที่ใช้ความ “บอบช้ำ” ของทหารไทย เป็นเครื่องเมื่อ “ลดขวัญ – กำลังใจ” ของประชาชน
และ สาม คือ…ภัยเชิงนโยบาย ที่ใช้ช่องทาง…แรงงาน เศรษฐกิจชายแดน และเครือข่ายผลประโยชน์ข้ามชาติเป็นเครื่องกดดันรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง
ทุกมิติ! ต่างประสานกันอย่างแยบยล จนทำให้ไทยติดอยู่ในวงจรของ “ความอดทน” ที่ไม่มีจุดจบ!!!
ในสถานการณ์เช่นนี้ “การสยบปฏิปักษ์!” ต่อผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น…ภัยต่อความคุกคามต่อปัญหาความมั่นคงของไทย จึงไม่อาจอาศัยเพียง กำลังทหาร เพราะ “ศัตรู” ไม่ได้รบแบบใช้ปืน แต่ใช้ “ความสัมพันธ์” เป็นอาวุธ
ดังนั้น การตอบโต้ จึงต้องมาจาก “ทุกกลไกของรัฐ” ทั้ง…การทูต เศรษฐกิจ ข่าวกรอง และจิตวิทยามวลชน
“รัฐบาลอนุทิน” จึงเลือก “ตอบด้วยระบบ” แทนที่จะ “ตอบด้วยระเบิด”
มาตรการหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด! คือ การที่ไทย ชะลอการต่ออายุใบอนุญาตทำงานของแรงงานกัมพูชา ซึ่งกำลังจะหมดอายุในช่วงปลายปี 2568
นี่ไม่ใช่แค่…เรื่องแรงงาน แต่คือ สัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ ที่ชัดเจนที่สุด!
การชะลอแรงงาน คือ การปิดช่องทางเศรษฐกิจที่กัมพูชาใช้พึ่งพาไทยอย่างเงียบ ๆ และเป็นการ ส่งสัญญาณ ว่า “เมื่อคุณละเมิดเรา คุณจะต้องรับผลจากการหยุดการพึ่งพาเรา”
แรงงานกัมพูชามากกว่า 1 ล้านคนในไทย คือ แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ รัฐบาลพนมเปญ รู้ดีว่า…ขาดไม่ได้
การ หยุด! ต่อใบอนุญาตทำงานแม้เพียงชั่วคราว ย่อมจะส่งผลต่อเศรษฐกิจครัวเรือนกัมพูชาทันที! และทำให้ “รัฐบาลฮุน มาเนต” ต้องประเมินกันใหม่ ว่า…สันติภาพกับไทยนั้น มีมูลค่ามากเพียงใด???
นี่คือการ “สยบปฏิปักษ์” ด้วยนโยบาย…ไม่ต้องยิงปืน! แต่ทำให้ ฝ่ายตรงข้าม หยุดเคลื่อนไหว…เพราะขาดเส้นเลือดทางเศรษฐกิจ
ในอีกด้านหนึ่ง การชะลอแรงงาน ยังเป็น “การป้องกันเชิงลึก???” นั่นเพราะ มีข้อเท็จจริง! บางอย่าง? ที่คนส่วนใหญ่อาจยังไม่รู้? นั่นคือ…
แรงงานข้ามชาติ จำนวนหนึ่งถูกใช้เป็นช่องทางข่าวกรองและการเคลื่อนไหวแฝงในพื้นที่เศรษฐกิจของไทย
ดังนั้น การตรวจสอบและจำกัดจำนวนแรงงาน จึงไม่เพียงแต่สร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ยังช่วย “ตัดวงจร” ข้อมูลข่าวสารที่ ฝ่ายตรงข้าม…อาจใช้เป็นช่องโหว่ในอนาคต
นโยบายนี้ สอดคล้องกับ “แนวคิดหลัก!” ของรัฐบาลอนุทิน ที่ว่า…
“สยบ! ปฏิปักษ์ คือยุทธศาสตร์แห่งการทำให้ศัตรูหยุดโดยไม่ต้องรบ”
“สยบ” หมายถึง…ทำให้สงบ ทำให้หยุดเคลื่อนไหว ทำให้ยอมจำนน และ “ปฏิปักษ์” ก็คือ…ผู้ไม่เป็นมิตร ผู้ขัดขวาง หรือผู้ที่คัดง้าง
ดังนั้น เมื่อรวมกัน “สยบ! ปฏิปักษ์” ก็มิต่างจากการที่ ฝ่ายไทย…ใช้พลังแห่งสติปัญญาและความชอบธรรมทางรัฐ เพื่อทำให้ฝ่ายศัตรู…หมดฤทธิ์ลง! โดยไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเนื้อ แต่อย่างใด???
การประชุม สมช. ที่ นายกฯอนุทิน เรียกในช่วงเช้าวันที่ 11 พฤศจิกายน จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่…การรับฟังสถานการณ์ แต่เป็นการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติในยุคใหม่!!??
ยุคที่ไทย…จะไม่รอให้ใครมาสงสาร แต่จะกำหนดเกมเอง!!! และสร้างความสงบ…จากความเข้มแข็งและกล้าแกร่งของไทยเอง
นายกฯอนุทิน แสดงให้เห็นแล้วว่า…“ผู้นำพลเรือนในสนามความมั่นคง! สามารถกล้าตัดสินใจได้อย่างทหาร โดยไม่ต้องใส่เครื่องแบบ…”
แนวคิด “สยบ! ปฏิปักษ์” จึงไม่ใช่แค่…สโลแกนทางการเมือง หากแต่เป็น “กรอบยุทธศาสตร์” ที่รัฐบาลสามารถนำไป “ต่อยอด” เป็น “นโยบายแห่งรัฐ” ได้จริงๆ!!!
โดยใช้…ทุกเครื่องมือของชาติ? ทั้ง…เศรษฐกิจ การทูต สังคม และการสื่อสาร เพื่อสร้าง…อำนาจการยับยั้งเชิงอารยะ
นี่คือ…พลังใหม่ของรัฐไทย ในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องเผชิญภัยคุกคามแบบไม่มียุทธบริเวณ…
ประเทศไทยจำเป็นต้องมี “ยุทธศาสตร์สยบปฏิปักษ์” เป็น…วาระแห่งชาติ เพื่อ “ยุติ” พฤติกรรมคุกคามซ้ำซากของเพื่อนบ้าน และสร้างความมั่นคงแบบยั่งยืน บนฐานของสติ ความเด็ดขาด และศักดิ์ศรีแห่งรัฐอธิปไตย
เพราะในโลกยุคนี้…“การรบที่ดีที่สุด! คือการทำให้…ศัตรู “ยุติการรบ” ด้วยสติของเรา ไม่ใช่ด้วยกระสุนของเขา”
และนั่นคือ…หัวใจของยุทธศาสตร์ใหม่ ที่ รัฐบาลอนุทิน ได้เริ่มเปิดฉากอย่างเต็มภาคภูมิ…
ผ่าน กลยุทธ์…แผนยุทธศาสตร์ “สยบ! ปฏิปักษ์…ด้วยปัญญา ไม่จำเป็นต้องใช้กระสุนปืน!!!”.






