‘ทัพไทย’ โต้ผลสอบกัมพูชา! ปมระเบิดชายแดน ยัน! ไม่ใช่กระสุนฝั่งไทย

กองทัพบกไทย ตั้งข้อสังเกตผลตรวจของกัมพูชา ปมระเบิดใน จ.พระวิหาร ชี้! รายละเอียดทางเทคนิคไม่สอดคล้องกับกระสุนที่ถูกอ้างอิง ย้ำ! ควรสื่อสารอย่างรอบคอบ หวั่นกระทบบรรยากาศลดความขัดแย้ง ด้าน โฆษกฯวินธัย ระบุ! ภาพความเสียหายและข้อมูลนิติวิทยาศาสตร์ที่เผยแพร่ ไม่ตรงคุณลักษณะของลูกระเบิดย่อยแบบ M85 จากกระสุน 155 มม. ตามที่สื่อกัมพูชานำเสนอ

กองทัพบกไทย ออกมาชี้แจงกรณี สำนักข่าวกัมพูชา นำเสนอผลตรวจสอบของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) ต่อเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ในอำเภอจอมกระสาน จังหวัดพระวิหาร ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดย รายงานฝั่งกัมพูชา ระบุว่า วัตถุระเบิดเป็นลูกระเบิดย่อยแบบ M-85 จากกระสุนแบบ M396 ที่ยิงด้วยปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตรของกองทัพไทย และอ้างว่าเป็นเศษกระสุนตกค้างจากเหตุปะทะช่วงวันที่ 24–28 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ “โฆษกกองทัพบก” พลตรี วินธัย สุวารี ระบุว่า เมื่อพิจารณาเอกสารและภาพถ่ายจากจุดเกิดเหตุที่ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่ เทียบกับข้อมูลทางเทคนิคของกระสุนที่ถูกกล่าวอ้าง พบหลายประเด็นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง โดยย้ำว่า ประเด็นทางเทคนิคเหล่านี้สำคัญต่อการระบุชนิดวัตถุระเบิด และต่อความเข้าใจของสาธารณชนในสถานการณ์ชายแดน ซึ่งมีความอ่อนไหว

ทั้งนี้ ไทยมีอาวุธปืนใหญ่ที่ใช้กระสุนประเภทดังกล่าวจริง แต่ถูกกำหนดให้ใช้ด้วยความระมัดระวังต่อเป้าหมายทางทหารที่เป็นสิ่งปลูกสร้างแข็งแรง เพื่อการเจาะเกราะ เป็นกระสุนระเบิดทวิประสงค์ (Dual Purpose Improved Conventional Munitions: DPICM) สำหรับปืนใหญ่ 155 มิลลิเมตร ไม่ได้ออกแบบให้ใช้ต่อเป้าหมายพลเรือน และมีหลักเกณฑ์การใช้ที่ชัดเจน

ตามกลไกการทำงานของ DPICM เมื่อกระสุนถึงเป้าหมาย จะปล่อยลูกระเบิดย่อยแบบ M85 ออกมา ซึ่งลูกย่อยถูกออกแบบให้ทำงานและระเบิดตัวเองโดยอัตโนมัติ โอกาสตกค้างมีน้อยมาก ที่สำคัญ M85 ไม่มีส่วนประกอบเป็นลูกปรายเหล็กทรงกลมภายใน เมื่อเทียบกับบางชนิดของวัตถุระเบิดแบบสะเก็ดระเบิดทั่วไป ซึ่งจุดนี้ถือเป็น “เครื่องชี้” ทางเทคนิคที่ใช้แยกแยะชนิดระเบิดได้ดี

พลตรี วินธัย อธิบายว่า ภาพความเสียหายที่ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่ ทั้งรูพรุนจำนวนมากบนหลังคาบ้าน โอ่งน้ำที่มีรูทะลุ และร่องรอยสะเก็ดระเบิดกระจา กลับไม่สอดคล้องกับลักษณะการทำลายของ M85 ซึ่งใช้หลักการเจาะเกราะแบบ Shaped Charge ที่มักทิ้งร่องรอยการเผาไหม้หรือการหลอมของพื้นผิวในแนวเจาะจง มากกว่าจะกระจายสะเก็ดเป็นวงกว้างดังที่เห็นในภาพ ทั้งยังไม่พบสัญญาณเฉพาะของหัวรบที่มีไส้เจาะเกราะตามแบบของ M85

แม้ในทางทฤษฎีจะมีโอกาสที่ลูกย่อยบางลูกไม่ทำงาน แต่เมื่อพิจารณาผลลัพธ์ความเสียหายจริงที่ถูกเผยแพร่ ก็ยังขัดแย้งกับข้อสรุปทางนิติวิทยาศาสตร์ของฝ่ายกัมพูชาโฆษกกองทัพบก กล่าวพร้อมย้ำว่า…การวิเคราะห์อาวุธกระสุนต้องอาศัยการตรวจชิ้นส่วนในพื้นที่อย่างละเอียด ทั้งรอยเกลียว รหัสผลิต และองค์ประกอบโลหะ ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดกว่าการคาดคะเนจากภาพรวมของความเสียหายเพียงอย่างเดียว

กองทัพบกไทย ยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า กระสุนปืนใหญ่ประเภทที่ถูกอ้างอิงมีหลักปฏิบัติการใช้ที่เข้มงวด และถูกจำกัดกรอบให้ใช้ต่อเป้าหมายทางทหารตามกฎหมายและกติกาสากลเท่านั้น ส่วนในเชิงวิศวกรรมอาวุธ ลูกระเบิดย่อยแบบ M85 ที่ถูกกล่าวอ้างไม่ได้มีคุณสมบัติผลิตสะเก็ดปริมาณมากให้กระจายเป็นวงกว้างเหมือนสะเก็ดระเบิดทั่วๆ ไป จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ข้อสรุปของฝั่งกัมพูชาไม่น่าเชื่อถือเมื่อเทียบกับหลักฐานภาพที่ปรากฏ

ทั้งนี้ โฆษกกองทัพบก ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การเชื่อมโยงเหตุระเบิดครั้งนี้ เข้ากับเหตุปะทะเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 โดยระบุว่าเป็น “เศษกระสุนตกค้าง” ก็ยังขาดการยืนยันเชิงพยานหลักฐานที่ชัดเจน ทั้งใน มิติพิกัดการยิง ทิศทางและวิถีกระสุน ระยะหวังผลของปืนใหญ่ ตลอดจน หลักฐานเศษชิ้นส่วนที่สามารถตรวจยืนยันแหล่งผลิต รุ่น และล็อตการผลิต ซึ่งเป็นมาตรฐานการสืบสวนเหตุอาวุธระเบิดที่ใช้กันในสากล

โดยในภาพรวม กองทัพบกไทย ย้ำว่า การสื่อสารสาธารณะในเรื่องที่เกี่ยวพันกับชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ควรตั้งอยู่บนข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบทางเทคนิคหลายชั้น เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจถูกใช้ขยายผลทางการเมืองหรือสังคม พร้อมกับระบุว่า ไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับกัมพูชาในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามช่องทางที่เหมาะสม และสนับสนุนมาตรการลดความตึงเครียดด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงเทคนิคอย่างโปร่งใส

สื่อมวลชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง และยึดหลักความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนกลายเป็น “เชื้อเพลิง” ต่ออารมณ์สาธารณะซึ่งอาจกระทบกระบวนการลดความขัดแย้งที่ทั้ง 2 ประเทศ กำลังร่วมกันผลักดัน เป้าหมายสำคัญคือความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ และการธำรงบรรยากาศความร่วมมือระหว่างไทย–กัมพูชา โฆษกกองทัพบก ย้ำ พร้อมกับ ขอให้ทุกฝ่ายเปิดพื้นที่ให้กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงเดินหน้าอย่างรอบคอบ มีมาตรฐาน และไม่ตัดสินบนฐานของข้อสรุปที่ยังโต้แย้งได้ทางเทคนิค.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password