รัฐดัน 2 โครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส – เที่ยวดีมีคืน’ กระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี

โฆษกรัฐบาล ย้ำ! 2 โครงการรัฐ “คนละครึ่ง พลัส – เที่ยวดีมีคืน” คือกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามยุทธศาสตร์ “Quick Big Win” ที่รัฐบาลตั้งเป้าขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจขยายตัวในไตรมาส 4 และกระจายรายได้สู่เมืองรองทั่วประเทศ เตือนผู้ประกอบการอย่าฉวยโอกาสปรับราคาสินค้า พร้อมเดินหน้าตรวจสอบเต็มที่ เพื่อให้การใช้สิทธิโครงการถึงกลุ่มเป้าหมายจริง
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งพลัส เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี ผ่านยุทธศาสตร์ “Quick Big Win” ซึ่งคาดว่า จะช่วยให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวได้ดีขึ้นในไตรมาส 4 ของปี 2568 พร้อมทั้งยกข้อมูลของกระทรวงการคลัง ที่ปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ไว้ที่ขยายตัวร้อยละ 2.4 (ช่วงคาดการณ์ 1.9 – 2.9 %) จากเดิมที่ประมาณร้อยละ 2.2 โดยชี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ก.ย. อยู่ที่ 50.7 จาก 50.1 ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เริ่มส่งผลบวกต่อทัศนคติของผู้บริโภคแล้ว
ส่วนความคืบหน้าของโครงการฯพบว่า ตั้งแต่วันแรกของการใช้สิทธิในโครงการฯ ระบบได้ตรวจสอบยอดใช้จ่ายอย่างใกล้ชิด พบว่า ณ เวลา 23.00 น. ของวานนี้ (30 ต.ค.) มียอดใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 4,062.45 บาท เป็นเงินที่ประชาชนใช้จ่าย 2,051.38 ล้านบาท เป็นเงินที่รัฐบาลร่วมจ่าย 2,011.07 ล้านบาท และมีร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้ว 742,379 ราย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความห่วงใยถึงพฤติกรรมของผู้ประกอบการว่า หากพบการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า หรือบริการเพื่อเก็บกำไรเกินควร รัฐบาลจะไม่ปล่อยผ่าน ซึ่ง กระทรวงการคลังได้ใช้ระบบ Data Analytics เพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่มีลักษณะน่าสงสัย พร้อมดำเนินมาตรการร่วมกับแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี ป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคหรือการทุจริตต่าง ๆ และหากพบว่ามีความผิดจริง จะดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงอย่างถึงที่สุด
ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่ง พลัส เปิดให้ผู้ได้รับสิทธิใช้จ่ายผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” (G-Wallet) ในช่วงเวลา 06.00 – 23.00 น. ของทุกวัน โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายสูงสุดไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวัน และแบ่งกลุ่มผู้ได้รับสิทธิออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี ได้รับสิทธิสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน ส่วน ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีได้รับสิทธิสูงสุดไม่เกิน 2,400 บาทต่อคน และทั้ง 2 กลุ่มจะใช้สิทธิได้จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. (โดยใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 11 พ.ย.)
“การที่ระบบตรวจสอบยอดการใช้จ่ายทันที พร้อมการติดตามรูปแบบพฤติกรรมที่อาจผิดปกติ ถือเป็นสัญญาณว่า รัฐบาลตั้งใจให้โครงการนี้ไม่ใช่เพียงมาตรการแจกเงิน แต่ต้องการให้เกิดการใช้จ่ายจริง สร้างรายได้ให้กับร้านค้ารายย่อย และกระจายเงินสู่วงจรเศรษฐกิจฐานรากอย่างมีประสิทธิภาพ” นายสิริพงศ์ กล่าวและย้ำว่า…
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินโครงการ เที่ยวดีมีคืน 2568 และเป็นอีกกลไกหลักที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยรณรงค์ให้ประชาชนนำค่าใช้จ่ายด้านที่พักและร้านอาหารที่จดทะเบียน VAT มาหักลดหย่อนภาษีได้ สำหรับ บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้สูงสุด 20,000 บาท และหากเลือกเดินทางไปยังพื้นที่ “เมืองรอง” ที่รัฐบาลกำหนดไว้จำนวน 55 เมือง รองทั่วประเทศ จะได้รับสิทธิลดหย่อนเพิ่มเป็น 1.5 เท่า สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท
โดย มาตรการดังกล่าวเริ่มในวันเดียวกับโครงการคนละครึ่งพลัส (29 ต.ค.) แต่สิ้นสุดโครงการในวันที่ 15 ธ.ค. ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า เป้าหมายหลัก คือ การกระจายเม็ดเงินสู่เมืองรองในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ เพื่อให้เกิดการฟื้นตัวแบบมีภูมิภาค ไม่กระจุกตัวอยู่แค่เมืองใหญ่เท่านั้น
ทั้งนี้ 2 โครงการข้างต้น ได้สอดประสานกันในเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ที่เล็งเห็นว่า การกระตุ้นการบริโภคภายในและการท่องเที่ยวภายในประเทศควรไปควบคู่กัน ยิ่งในช่วงปลายปีซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนมีความต้องการใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะกลุ่มร้านค้า–บริการ และธุรกิจท่องเที่ยว “เมืองรอง” ที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่าจากภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านมา ทั้งนี้ รัฐบาลจึงดำเนินมาตรการเพื่อลดอุปสรรค เช่น การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี การสนับสนุนธุรกิจโรงแรมให้หักรายจ่ายได้ถึง 2 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง จนถึง 31 มี.ค.2569 เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการท่องเที่ยวในประเทศ
ท้ายที่สุด นายสิริพงศ์ กล่าวว่า “เราต้องการเห็นผลที่ชัดเจนภายในไตรมาส 4 ทั้งในด้านตัวเลขเศรษฐกิจ และในด้านคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยทั้ง คนละครึ่ง พลัส และ เที่ยวดีมีคืน 2568 เป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยให้ GDP ไทยในปี 2568 มีโอกาสขยายตัวได้ดีขึ้น ทั้งในเชิงตัวเลขและเชิงพื้นที่ จึงขอเชิญชวนประชาชนและผู้ประกอบการใช้สิทธิให้เต็มที่ ภายในระยะเวลาที่กำหนด”
ดังนั้น รัฐบาลจึงเตือนให้ผู้ประกอบการทุกระดับ “อย่าฉวยโอกาส” ปรับขึ้นราคาสินค้าหรือบริการโดยไม่เป็นธรรม เพราะไม่เพียงแต่จะถูกดำเนินคดีแล้ว ยังอาจส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และลดทอนประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นทั้งระบบ
สรุปได้ว่า จากนี้จนถึงสิ้นปี 2568 รัฐบาลวางกรอบให้ทั้งประชาชนและภาคธุรกิจได้ใช้โอกาสจากมาตรการทั้ง 2 นี้ อย่างมีแบบแผน คือ ใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง พลัส เพื่อเพิ่มกำลังซื้อในชีวิตประจำวัน และ ใช้สิทธิโครงการ เที่ยวดีมีคืน 2568 เพื่อส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศควบคู่ไปกับการลดหย่อนภาษี
ทั้งนี้ ภาครัฐเน้นย้ำว่า การใช้สิทธิให้เกิดผลจริง ต้องมีเงื่อนไขครบถ้วน ตรวจสอบได้ และเกิดผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน.

 
                                            
 
																				 
																				



