คลังปรับขึ้น GDP เป็น 2.4% เหตุ ‘ส่งออก-ท่องเที่ยวดี’ แถมได้ ‘คนละครึ่งพลัส-โครงการรัฐ’ กระตุ้นอีกแรง!

กระทรวงการคลังปรับใหม่ คาดการจีดีพีไทยปี 2568 เป็น 2.4% หลังแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว จากภาคส่งออกและท่องเที่ยว พ่วงแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชู! “คนละครึ่งพลัส” กระตุกการบริโภคในประเทศ สร้างความเชื่อมั่นในระยะสั้น มั่นใจจีดีพีปี 2569 โตไม่ต่ำกว่า 2% เผย! ยังมีประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าให้ต้องกังวล

เมื่อช่วงสายวันนี้ (30 ต.ค.2568) นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงภาพรวมเศรษฐกิจไทย เดือน ก.ย.2568 ตอนหนึ่งได้กล่าวถึง การประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย (จีดีพี) ในปี 2568 ว่า กระทรวงการคลังได้ปรับเพิ่มจากเดิม 2.2% เป็น 2.4% โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง และภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศที่ยังคงเติบโต รวมถึงจากหลายนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เริ่มเห็นผลชัดเจน โดยเฉพาะ โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่มียอดใช้จ่ายสะสมแล้วกว่า 2,200 ล้านบาท ซึ่งช่วยพยุงการบริโภคภาคครัวเรือนและเป็นแรงหนุนสำคัญของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

นายวินิจ กล่าวอีกว่า การปรับคาดการณ์ในครั้งนี้ สะท้อนทิศทางเศรษฐกิจไทยที่มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเศรษฐกิจไทย ได้รับแรงหนุนจาก การส่งออกสินค้า ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ติดต่อกัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี โดยเฉพาะสินค้าใน หมวดเครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ที่ขยายตัวโดดเด่นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึง ตลาดสำคัญอย่าง สหรัฐฯ อินเดีย และอาเซียนที่กลับมามีอุปสงค์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในส่วนของการท่องเที่ยว ผอ.สศค. ย้ำว่า การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยกว่า 21.6 ล้านคนในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 จากปีก่อน แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงเล็กน้อยจากปัจจัยภายนอก แต่ภาคบริการโดยรวมยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีที่คาดว่าจะคึกคักมากขึ้นจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ

ด้าน การบริโภคภาคเอกชน เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน สะท้อนจากปริมาณรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 และ 13.4 ตามลำดับ ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายนปรับเพิ่มขึ้นเป็น 50.7 จาก 50.1 ในเดือนก่อนหน้า แสดงถึงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยที่เริ่มกลับมา
ขณะที่ มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” และ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นกำลังซื้อและพยุงเศรษฐกิจฐานรากให้หมุนเวียนได้จริงในระบบเศรษฐกิจ
ในด้าน การลงทุนภาคเอกชน นั้น สศค. ประเมินว่า…มีแนวโน้มทรงตัว โดยการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 จากปีก่อน แต่การลงทุนในหมวดก่อสร้างยังชะลอตัวบางส่วน อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมาตรการเร่งรัดลงทุนภาครัฐจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนต่อเนื่องในปีหน้า โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะสามารถขยายตัวได้ราว 2% หากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่ผันผวนรุนแรง
ขณะเดียวกัน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกันยายนอยู่ที่ –0.72% และหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 64.6% ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการคลัง ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศยังทรงตัวสูงถึง 273.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แสดงถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายนอกที่สามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดโลกได้
นายวินิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังต้องเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยโลก อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่กระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนได้จริง จะเป็นแรงขับสำคัญให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้ และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนและประชาชนต่อทิศทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป.

You may also like






