วาระของโรค – 7 นักการเมือง


จาก “7 รายชื่อ” นักการเมืองไทย เอี่ยวโกง แก๊งสแกมเมอร์ กัมพูชา สู่แรงกดดันนำไปสู่การสร้าง “รัฐไทย” ขจัดกลโกงแบบครบวงจร หาก “นายกฯอนุทิน” ยังคงเพิกเฉย จาก…วาระของโลก ที่ไทยต้องปฏิบัติตาม ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นได้แค่ “วาระของโรค” ที่รอวันถูกทำลาย!!!
คนไทยส่วนใหญ่เชื่อไปแล้ว??? กับ…ปมรายชื่อ “7 นักการเมืองไทย” เอี่ยวขบวนการสแกมเมอร์ในกัมพูชา แม้ รัฐบาลเกาหลีใต้ และ สถานทูตเกาหลีใต้ในไทย จะออกมาปฏิเสธเรื่องนี้แล้วก็ตาม…
เกินครึ่งของ “7 รายชื่อ” ข้างต้นนั้น คนไทยในโลกโซเชียล…ใส่ชื่อกันไปแล้ว!
ใครเป็นใคร? เดากันได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า…ทั้ง “7 รายชื่อ” ที่ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ จะเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาในกัมพูชา
แต่ที่น่าสนใจ…ก่อนหน้าจะมีข่าว “ผู้นำเกาหลีใต้” ถือรายชื่อ “7 นักการเมืองไทย” ก็เป็น นายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะ ปธ.กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย การปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ สภาผู้แทนราษฎร เคยอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อช่วงกลางเดือน ก.พ.2668 ถึง…
กลุ่มนักการเมืองไทยที่เข้าไปเอี่ยวกับธุรกิจสีเทา ในกัมพูชา???
ครอบคลุม…แก๊งคอลเซ็นเตอร์, สแกมเมอร์, การพนันออนไลน์, การค้าและใช้แรงงานต่างชาติ รวมถึงการฟอกเงิน อีกทั้งยังระบุด้วยว่า…
มีนักการเมืองระดับชาติ และผู้มีอำนาจในไทย เข้าไปเกี่ยวพันอยู่ และอยู่เบื้องหลังของกลุ่มทุนจีนสีเทาและไทยสีเทา
ครั้งนั้น…ยังเป็น “รัฐบาลเพื่อไทย” และมี นายกรัฐมนตรี ชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไม่เกี่ยวกับ “รัฐบาลอนุทิน” ในทางตรงแต่อย่างใด?
ต่อมา…จึงมีการ เชื่อมโยงเรื่องราวก่อนหน้านี้ถึงปัจจุบัน!!! โดยการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ “การทุจริต–ผลประโยชน์ทับซ้อน–ธุรกิจสีเทา” ของนักการเมืองระดับรัฐมนตรีบางคน???
กับข้อเรียกร้องผ่านไปยัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เพื่อให้พิจารณา ปลดทันที! “บิ๊กฝ่ายการเมือง” ใน “รัฐบาลอนุทิน” เนื่องจากถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการมี “เส้นทางเงิน–ทรัพย์สิน” ที่ไม่สอดคล้องกับบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.
เพราะมีการเชื่อมโยงไปถึง ขบวนการฟอกเงินจากธุรกิจต่างประเทศ ทั้งจาก…การพนัน แรงงานข้ามชาติ และมี “นักการเมืองระดับสูง” ของไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง
และไม่ใช่แค่ นายรังสิมันต์ ก่อนหน้านี้…ก็มี…เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน และกลุ่มนักวิชาการเพื่อความโปร่งใสทางการเมือง ที่ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องในลักษณะเดียวกัน
ล่าสุด เมื่อ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา นายกฯอนุทิน ได้ตอบคำถามนักข่าว กรณีดังกล่าว (7 รายชื่อนักการเมืองไทย) ว่า… “ได้สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซลตรวจสอบข่าวนี้แล้ว” พร้อมยืนยันว่า…
รัฐบาลไม่ละเว้นผู้กระทำผิด หากมีหลักฐานชัดจะดำเนินคดีทันที!!!
กระนั้น นายกฯอนุทิน ก็ออกตัวในทำนอง…“ตอนพูดคุยกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องนี้เลย…”
ส่วนกรณี ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯและรมว.เกษตรฯ ซึ่งถูกเสนอให้ปลดออกจากตำแหน่งในรัฐบาลนั้น นายกฯอนุทิน ตอบว่า…“ต้องดูที่รูปคดี คำพิพากษา และการกระทำผิดจริงก่อน”
ก่อนจะย้ำว่า…รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปราบสแกมเมอร์ เพราะ “นี่คือวาระของโลก” ประเทศไทยต้องเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม คำตอบของ นายกฯอนุทิน ไม่ได้สยบข้อสงสัยได้ทั้งหมด??? เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณี “ทุนสีเทา – สแกมเมอร์ – ธุรกิจฟอกเงิน” มักถูกพูดถึงใน วงการการเมืองไทย อย่างต่อเนื่อง โดยมีการโยง ชื่อของนักการเมืองระดับสูง!!??
รวมถึง รอ.ธรรมนัส ซึ่งเคยถูกตั้งฉายาจาก นักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล เมื่อช่วงปลายปี 2562 สมัย “รัฐบาลลุงตู่” หรือ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 2/1 กับฉายาที่ยามนั้นเป็น “รมช.เกษตรฯ” ว่า “เทามนัส” จากคดีเก่าที่ออสเตรเลีย และความโปร่งใสทางการเมือง ณ ขณะนั้น
และเป็น…เจ้าตัว ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงฉายาดังกล่าวในทำนอง…“ผมก็เป็นคนเทาๆ แต่คนเทาๆ ก็ทำเพื่อประชาชนได้”
สัปดาห์ก่อน…เป็น นายรังสิมันต์ ในฐานะ ปธ.กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ ที่ออกมาระบุว่า…รอ.ธรรมนัส ไม่เพียงไม่ให้ความร่วมมือในการเดินทางมาชี้แจง ตามคำเชิญอย่างเป็นทางการ หากยังใช้วิธีการ “ฟ้อง” ผ่านบริการของ “ทีมทนายความ” ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่ว่าความให้ นายเบน สมิธ ชาวต่างชาติที่ถูกทางการสหรัฐฯ…เพิ่งจับตาเรื่องการฟอกเงิน
ถึงนาทีนี้ ขอยืนยันว่า…ยังไม่มีข้อพิสูจน์ใด? จะชี้ชัดว่า…รอ.ธรรมนัส เข้าไปเกี่ยวพันกับแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา ในฐานะ “1 ใน 7” รายชื่อนักการเมืองไทย
และถึงจะ ถูกตั้งข้อสงสัย? ก็ต้องยึดตามคำพูดของ นายกฯอนุทิน ที่ว่า… “ต้องดูที่รูปคดี คำพิพากษา และการกระทำผิดจริงก่อน”
ต้องเข้าใจ! ที่นี่…ประเทศไทย จะใช้มาตรวัดโลกตะวันตก “ปลดไปก่อน” เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบเดินไปข้างหน้า ก็คงไม่ใช่เรื่อง…
แม้โลกความเป็นจริงยามนี้…บนเวทีระหว่างประเทศ ทั้ง ทางการสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร เพิ่งประกาศ คว่ำบาตรเครือข่าย Prince Group ในกัมพูชา ที่มีนายใหญ่ ชื่อ ออกญาเฉิน จื้อ ที่ปรึกษาส่วนตัวของ “2 พ่อลูกตระกูลฮุน” ด้วยการอายัดทรัพย์สิน ทั้งที่เป็น…คริปโตเคอร์เรนซี สกุลต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “บิตคอยน์” รวมกันราว 5 แสนล้านบาท และ อสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ อีกนับหมื่นล้านบาท…
ด้วยข้อหา…เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมสแกมออนไลน์ แรงงานบังคับ และการฟอกเงินขนาดใหญ่
อีกด้านหนึ่ง กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ออกมาระบุว่า…มีคนอเมริกันเสียหายจากอาชญากรรมลักษณะนี้ มากกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา และมีบางเส้นทางการเงิน ผ่านประเทศไทย ก่อนออกไปต่างประเทศ ส่งผลให้ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ประเทศเสี่ยงต่อการฟอกเงิน” (อ้างรายงานล่าสุดของ FATF หรือ Financial Action Task Force : คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อปฏิบัติการทางการเงินของสหรัฐฯ)
ตรงนี้…สร้างแรงกดดันได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เด้ง!!?? เด้งหนึ่ง…จากเดิมที่คนไทยส่วนใหญ่ ต่างรู้สึก “ไม่เชื่อมั่น” ต่อระบบตรวจสอบของทางการไทย
และ เด้งที่ 2…จากนานาชาติที่ต้องการให้ไทยจริงจังกับการปราบปรามธุรกิจสีเทา
ขณะที่ “รัฐบาลอนุทิน” อยู่ในจุดที่ต้องเลือก? ระหว่าง “ปกป้องพวกพ้อง” หรือ “สร้างบรรทัดฐานใหม่ของความรับผิดชอบทางการเมือง”
ในด้านนโยบาย “นายกฯอนุทิน” พยายามแสดงจุดยืนว่า “สแกมเมอร์เป็นวาระระดับโลก” โดยเตรียมประชุม คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ พร้อมระบุว่า…
ที่ผ่านมาได้จับกุมไปแล้ว 37 ราย แต่ใน สายตาสาธารณะ สิ่งที่ถูกจับตามากกว่า ก็คือ…รัฐบาลจะจัดการอย่างไรกับ “นักการเมืองที่อาจเกี่ยวข้อง” ที่ว่านี้???
เมื่อเทียบกับ ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง…สิงคโปร์และเวียดนาม ที่เป็นตัวอย่างชัดเจนของรัฐที่ใช้ “ความเข้มงวดปราบโกง” เป็นฐานพัฒนาประเทศ…
สิงคโปร์ มี CPIB ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี…ตรวจสอบได้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ “ตัวนายกรัฐมนตรี” เอง
ขณะที่ เวียดนาม มี “เตาไฟปราบโกง” ที่ลงโทษได้ถึง “ผู้นำ” ระดับโปลิตบูโร หากพบว่า…มีส่วนในการทุจริตคอร์รัปชั่น
ขณะที่ ประเทศไทย…ยังคงติดอยู่กับ “กับดัก” ระบบอุปถัมภ์
ทำให้ “หน่วยงาน/องค์กรตรวจสอบ” ที่มีมากมายและเป็นอิสระต่อกัน…ทำการสอบการตรวจในแบบที่ขาดความเป็นอิสระ กระทั่ง ทำให้ “คดีใหญ่ๆ” หลายคดี มักจบลงด้วยคำว่า…“หลักฐานไม่พอ”
หากวัดจาก คะแนนดัชนีคอร์รัปชันของไทย เมื่อปี 2024 อยู่ที่ 35 จาก 100 และต่ำกว่า…เวียดนาม และ มาเลเซีย อย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น การที่ “รัฐบาลอนุทิน” ประกาศ “ใครผิดไม่ละเว้น” จึงถูกมองว่า…เป็นบททดสอบศักยภาพทางจริยธรรมของรัฐบาลชุดนี้ ว่า…
คำพูดจะกลายเป็นการกระทำหรือไม่???
หากรัฐบาลเริ่มจากการให้ใครบางคน? หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว!!! เปิดเส้นทางทรัพย์สินให้ ป.ป.ช. ทำการตรวจสอบอย่างเข้มข้นและจริงจัง พร้อมกับนำข้อมูลดังกล่าวมาเปิดเผยต่อสาธารณะ สิ่งนี้…ก็จะเป็นสัญญาณชัดว่า…
“ประเทศไทยกำลังเริ่มเอาจริงกับการปราบโกง!!!”
แต่หาก รัฐบาลเลือกจะเพิกเฉย! จะยิ่งตอกย้ำ…ภาพของประเทศที่ปล่อยให้ “ธุรกิจสีเทา” และการเมืองผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น ต่อไป
ในยุคที่ อาชญากรรมทางไซเบอร์ กลายเป็น…ภัยความมั่นคงระดับโลก และ ไทยก็ไม่อาจจะอยู่เฉยได้อีก เพราะการไม่ลงมือ คือ การ “ยอมรับโดยปริยาย” ว่า…ความไม่โปร่งใสคือส่วนหนึ่งของระบบการเมืองและราชการไทย!!??
และเมื่อถึงวันนั้น คำว่า… “รัฐไทย” จะเป็นเพียง “เปลือกของอำนาจ” ที่ปราศจากศรัทธาของประชาชนคนไทยและสังคมโลก!!!
ข่าวลือ “7 รายชื่อ” ของนักการเมืองไทย…อาจยังไม่มีหลักฐาน แต่ได้ปลุกสังคมไทย…ให้ตื่นจากความชินชา และกลายเป็นแรงกดดันให้ “รัฐบาลอนุทิน” จะต้องเร่งพิสูจน์ ให้ได้ว่า…
ประเทศไทย…พร้อมจะก้าวสู่ยุคใหม่ ของความเป็น…“รัฐโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ละเว้นใคร”
หรือจะปล่อยให้ “ข่าวลือ” กลายเป็นสิ่งที่จริงที่สุด! ในสายตาประชาชน!!!
ประเทศไทยวันนี้…อยู่ใน “วาระของโลก” แต่หาก นายกฯอนุทิน เลือกจะใช้วิธีการ “ลูบหน้าปะจมูก” ไม่จัดการ ขบวนการสแกมเมอร์และธุรกิจสีเทา อย่างจริงจัง!
ประเทศไทย ก็คงเป็นได้แค่… “วาระของโรค” ที่รอการแพร่กระจาย จนร่างกายติดเชื้อโกงกันทั่วประเทศ!!!.