12 ข่าวฮอต เม้าท์มันส์ สนั่นเมือง (101068)

พบกับ “12 ข่าวฮอต เม้าท์มันส์ สนั่นเมือง” ประจำศุกร์ที่ 10 ตุลาคม 2568 ท่ามกลางสถานการณ์ข่าวที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องและมากมาย เลือกเฉพาะข่าวที่น่าสนใจและคนไทยต้องรู้? โดยไม่ซ้ำกับข่าวที่นำเสนอตามช่องทางปกติของ…ยุทธศาสตร์ออนไลน์ งั้น! เรามาเริ่มกันเลยกับข่าวนี้…

(1) รับทราบแผน ทบ.“นายกฯอนุทิน” ตอบคำถามนักข่าว ภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ว่า ได้มอบหมายให้ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. แถลงผลประชุมแทน โดยยืนยันว่า รัฐบาลได้รับรายงานแผนจากกองทัพบกครบถ้วนและมีความพร้อมทุกด้าน แต่บางส่วนเป็น “ความลับสุดยอด” ไม่สามารถเปิดเผยได้ในตอนนี้ และปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่าจะลงพื้นที่ด้วยตัวเองหรือไม่ บอกเพียงว่า “ดูในเวลาที่เหมาะสม” และเลี่ยงตอบประเด็นความขัดแย้งจากการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ ด้านนายฉัตรชัย เผยว่า ที่ประชุม สมช. ย้ำ 4 จุดยืนของไทย ที่ได้แจ้งต่อกัมพูชาและนานาชาติ ได้แก่ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การร่วมปราบอาชญากรรมข้ามชาติ และการจัดการปัญหาชายแดนร่วมกัน เพื่อให้ทุกหน่วยถือปฏิบัติและสร้างความเข้าใจต่อประชาคมโลก.

(2) รวม 2 เวทีประชุม“รมช.กลาโหม” พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ ลงพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ติดตามสถานการณ์และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมยืนยันชัดว่า “แผ่นดินไทย ต้องเป็นของไทย” และหน่วยต่างๆ พร้อมปฏิบัติการทุกรูปแบบตามกฎหมาย โดยจากการตรวจการณ์หน้างาน กำลังทหาร ตำรวจ ชุดควบคุมฝูง และเจ้าหน้าที่ป่าไม้มีความพร้อมเต็มที่ และการปฏิบัติของไทยยึดหลักมนุษยธรรมตามมาตรฐานสากล ไม่เดินนอกแนวทาง ทั้งนี้ หากปัญหาจะลุกลามเป็นเพราะกัมพูชายั่วยุและบิดเบือนภาพเหตุการณ์ในเวทีนานาชาติ ทำให้ไทยต้องระมัดระวัง แต่ก็ชี้แจงต่อประชาคมโลกอย่างต่อเนื่องว่า ไทยถูกยิงก่อนในหลายเหตุการณ์ เพื่อปิดช่องการโยนความรับผิดชอบ โดยฝ่ายไทยมีแผนจะรวบเวทีเจรจา JBC (คณะกรรมการชายแดนร่วม) และ GBC (คณะกรรมการความมั่นคงร่วม) ให้เป็นเวทีเดียว เพื่อให้การพูดคุยชัดเจนและไม่เป็นข้ออ้างของอีกฝ่าย.

(3) เตรียมพร้อมระดับสูงสุด  – กองทัพภาคที่ 1 นำ คณะผู้สังเกตการณ์ (IOT) ประจำราชอาณาจักรไทย ลงพื้นที่ บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว เพื่อตรวจดูการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เก็บกู้ทุ่นระเบิด และติดตามมาตรการจัดการพื้นที่ที่ชาวกัมพูชารุกล้ำเขตแดนไทย เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงต่อคณะ IOT ถึงขั้นตอนดำเนินงานตามกรอบกฎหมายไทยและหลักสากล เพื่อยืนยันว่าไทยใช้แนวทางสันติและโปร่งใสในการแก้ไขปัญหา โดยฝ่ายไทยได้เน้นย้ำความพร้อมในทุกมิติ ทั้งด้านยุทธวิธี การป้องกัน และการบริหารจัดการพื้นที่ เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย อีกด้านหนึ่ง พล.อ.อ. เสกสรร คันธา ผบ.ทอ. ระบุว่า กองทัพมีความพร้อมเต็มที่ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือความตึงเครียดชายแดนระลอกใหม่ และย้ำว่า การประชุ มคณะผู้บัญชาการทางทหารล่าสุด ไม่ได้หารือเฉพาะกรณีบ้านหนองจาน–หนองหญ้าแก้ว แต่ประเมินภาพรวมความมั่นคงชายแดนทุกด้าน และย้ำว่า..“เรามีแผนรองรับทุกสถานการณ์ ทั้งในเชิงป้องกันและตอบโต้” พร้อมกำชับให้หน่วยในพื้นที่ยึดแนวทางสันติและหลีกเลี่ยงการปะทะ ส่วนภาพรวมสถานการณ์ขณะนี้ยังอยู่ในความสงบ แต่ตนได้กำชับให้ทุกหน่วยรอรับคำสั่ง “เตรียมพร้อมระดับสูงสุด” หากสถานการณ์ชายแดนเปลี่ยนแปลง.

(4) ไม่ต้าน แต่ไม่ให้เจรจาตรง – “รมว.ต่างประเทศ” นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว นำคณะภาคเอกชนไทยในกัมพูชา ถกแนวทางจัดการผลกระทบ ก่อนจะย้ำว่า ไทย–กัมพูชาเป็นเพื่อนบ้าน ควรอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่ตนไม่มั่นใจว่ากัมพูชาจะเจรจาอย่างจริงจังหรือไม่? ในการประชุมมี ผู้แทนสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา ธุรกิจโรงแรม อาหาร ธนาคาร สายการบิน และ รมว.พาณิชย์ ร่วมด้วย เพื่อรับฟัง “เสียงสะท้อน” ผลกระทบจากภาคธุรกิจ ทั้งนี้ ไทยพร้อมใช้มาตรการบรรเทาผลกระทบหลายรูปแบบ ยืนยันจะไม่ต่อต้านบทบาทของสหรัฐฯ แต่ “อย่าให้สหรัฐฯ เป็นผู้ร่วมเจรจาโดยตรง” ส่วนแผนรวมเวที JBC + GBC เป็นเวทีเดียว ก็เพื่อป้องกันการโยนประเด็นกันไปมา และให้ไทยได้เปรียบในการเจรจา ด้านนโยบายหลักที่ไทยยึด 4 ข้อ คือ ถอนอาวุธหนัก, กู้ทุ่นระเบิด, ปราบอาชญากรรมข้ามชาติ, และจัดการชายแดนที่มีปัญหา ส่วนการล่วงล้ำที่ดินบ้านหนองจาน–หนองหญ้าแก้วนั้น ไทยยืนยันว่าเกิดขึ้นจริง และเป็นปัญหาค้างมานานก่อน ก่อนที่ รมว.ต่างประเทศ จะย้ำว่า ไทยจะป้องกันอธิปไตยอย่างแน่วแน่ พร้อมเดินหน้าเจรจาเต็มที่ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม.

(5) รัฐไม่ทอดทิ้งประชาชน นายกฯอนุทิน พร้อมคณะรัฐมนตรี และผวจ.พิจิต ลงพื้นที่ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและให้กำลังใจประชาชนกว่า 1,000 คน โดยยืนยัน “รัฐบาลจะไม่เพิกเฉย ไม่ทอดทิ้งพี่น้องประชาชน” โดยจะแจกเงินส่วนเหลือตาม มาตรการเยียวยาผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ 9,000 บาท ภายในสัปดาห์หน้า พร้อมให้ผู้ว่าฯและอำเภอ เร่งดำเนินการลงทะเบียนให้ครบ เพื่อให้เงินเข้าบัญชีประชาชนโดยตรงผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ควบคู่กันไป รัฐยังเร่งโครงการ “คนละครึ่งพลัส” แจกเงินใช้จ่ายวันละ 200 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วประเทศ และปรับวงเงิน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 2,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ นายกฯอนุทิน ยอมรับ “รัฐบาลมีส่วนผิด” ที่ระบายน้ำไม่ทัน จนชาวบ้านเดือดร้อน พร้อมสั่งหามาตรการฟื้นฟูระยะสั้น-ยาว ทั้งระบบระบายน้ำ บึงสีไฟ และโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อไม่ให้ซ้ำรอย และขอให้ อสม. ดูแลสุขภาพประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องไฟฟ้ารั่วและโรคน้ำกัดเท้า พร้อมเตือนให้อพยพไปยังจุดปลอดภัยก่อน.

(6) เตรียมเยือน สปป.ลาวนายกฯอนุทิน มีแผนที่จะเดินทางไปเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก ภายหลังจากเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยจากการประชุมร่วมกับ รมว.ต่างประเทศและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (9 ต.ค.) ทั้งนี้ เพื่อเตรียมการในโอกาสเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างเป็นทางการวันที่ 16 ต.ค.นี้ โดยภายการให้สัมภาษณ์นักข่าวแล้ว นายกฯได้เดินเยี่ยมชมกระทรวงการต่างประเทศ ดูห้องแถลงข่าวและถ่ายรูปร่วมกับผู้บริหาร ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมทั้งสักการะพระพุทธราชไมตรีศรีสัมพันธ์ พระอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนเดินทางกลับ.

(7) ประเทศปลอดบุหรี่ไฟฟ้า – “รมต.สำนักนายกฯ” สันติ ปิยะทัต แถลงหลังการประชุมมาตรการ “สังคมไทยปลอดบุหรี่ไฟฟ้า” ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า บุหรี่ไฟฟ้ากำลังระบาดหนักในหมู่นักเรียนและเยาวชน เป็น “ภัยเงียบ” ทำลายสมองและสุขภาพ จึงเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานี้ โดยรัฐจะเดินหน้าทั้งการให้ความรู้แก่เยาวชน ผู้ปกครอง และสังคม ผ่านสื่อทุกช่องทาง พร้อมบูรณาการหน่วยงานภาครัฐ–ประชาสังคมร่วมกันรณรงค์ ส่วนด้านการบังคับใช้กฎหมาย จะเข้มงวดมากขึ้น โดยที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สามารถยึดสินค้าผิดกฎหมายและดำเนินคดีได้หลายคดี แต่เครือข่ายการลักลอบยังมีอยู่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเสนอให้ “บุหรี่ไฟฟ้าเป็นมูลฐานความผิดฐานฟอกเงิน” เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีได้เด็ดขาด ไม่ต้องอิงเพียงกฎหมายศุลกากรที่ซับซ้อน ซึ่งหากกฎหมายนี้ผ่าน จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและยึดทรัพย์ผู้ค้าได้ทันที เพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามเครือข่ายรายใหญ่ พร้อมกันนี้ ยังได้กำชับทุกหน่วย เช่น กรมศุลกากร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงศึกษาธิการ เร่งทบทวนกฎหมายให้ทันสมัยรองรับสถานการณ์ อีกทั้งยังได้ย้ำว่า…“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่คือการปกป้องอนาคตของชาติ” พร้อมประกาศตั้งเป้าให้ไทยเป็นประเทศปลอดบุหรี่ไฟฟ้าอย่างแท้จริง.

(8) ธปท.ใกล้ชิดประชาชน – ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ “วิทัย รัตนากร” แถลงนโยบายครั้งแรกในงาน “GovernorConnect” ระบุ! เตรียมร่วมกับ กระทรวงการคลัง และ สมาคมธนาคารไทย จัดตั้ง บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อแก้หนี้เสียไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคน ช่วยประชาชนกว่า 2.3 ล้านราย คาดจะข้อสรุปภายใน ต.ค. และเริ่มโอนหนี้ต้นปี 2569 เขาย้ำว่า…จะใช้ SAM รับซื้อหนี้ภาคเอกชน และ Ari AMC ในเครือของธนาคารออมสิน รับซื้อหนี้รัฐ โดยใช้เงินคงเหลือจาก กองทุน FIDF กว่า 26,000 ล้านบาท อีกทั้ง ยังระบุว่า ธปท. พร้อมปรับลดดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.50% หากจำเป็น เพื่อประคองเศรษฐกิจและเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเหมาะสม ยืนยันยังไม่มีแนวคิดตั้ง กองทุนความมั่งคั่ง (Sovereign Wealth Fund) ชี้! ทุนสำรองระหว่างประเทศบริหารได้มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว ทั้งนี้ ธปท.จะดูแลค่าเงินบาทให้สอดคล้องพื้นฐานเศรษฐกิจ พร้อมตรวจจับเงินทุนผิดปกติ และพิจารณามาตรการซื้อขายทองคำออนไลน์อย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ วิทัย ยังประกาศนโยบาย “ใกล้ชิดประชาชน” เน้นรับฟังทุกภาคส่วนและดูแลกลุ่มเปราะบาง ลดค่าธรรมเนียมการเงินให้เป็นธรรม ควบคู่กับการเดินหน้าพัฒนา Digital Payment, โครงการ Your Data และ Virtual Bank เพื่อช่วย SME เข้าถึงสินเชื่อ ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “ธปท. จะทำงานอย่างอิสระ ไม่ถูกการเมืองแทรกแซง ทุกนโยบายต้องยึดประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นหลัก”.

(9) The Big Blue Ocean ชาติศิริ โสภณพนิช กก. ผจก.ใหญ่ พร้อมผู้บริหารระดับสูง ธนาคารกรุงเทพ ร่วมเปิดหลักสูตร “The Big Blue Ocean รุ่นที่ 4” ภายใต้แนวคิด “ชนะได้ด้วยดิจิทัล” มุ่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการให้พร้อมรับยุค Digital Transformation และ AI โดยหลักสูตรนี้ ดึงผู้บริหารและกูรูด้านเทคโนโลยีชั้นนำ มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์จริง เพื่อให้ผู้เข้าอบรมมองเห็นโอกาสใหม่ทางธุรกิจ ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ชาติศิริ ระบุว่า…หัวใจของการเปลี่ยนแปลงองค์กรอยู่ที่ “การเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง” ไม่ใช่เพียงการลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัย พร้อมชี้ว่า..หลักสูตรนี้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดและสร้างเครือข่ายธุรกิจ ขณะที่ ทศพร เพ็ชรโปรี จาก AXONS Technology เสริมว่า ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SME เผชิญ 4 ปัญหาใหญ่ ได้แก่ ขาดทุนเทียบรายใหญ่ เข้าถึงเทคโนโลยียาก ขาดผู้เชี่ยวชาญ และไม่จัดเก็บองค์ความรู้ และชี้ว่า…ดิจิทัลและ AI คือคำตอบในการแก้ปัญหาเหล่านี้ เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีมีต้นทุนต่ำ ใช้งานง่าย และพร้อมต่อยอดได้จริง.

(10) ชื่อเสียง “แบรนด์ไทย” – กลุ่มดุสิตธานี ประกาศความสำเร็จระดับโลก หลัง 2 โรงแรม “เรือธง” คือ “ดุสิตธานี กรุงเทพฯ” และ “ดุสิตธานี เกียวโต” คว้ารางวัล “มิชลิน คีย์ (Michelin Key)” ประจำปี 2568 โดย “ดุสิตธานี กรุงเทพฯ” คว้าครั้งแรกหลังเปิดใหม่เพียงปีเดียว ส่วน “ดุสิตธานี เกียวโต” รักษามาตรฐานคว้ารางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ด้าน จิลล์ เครตัลเลช ปธ.จนท.ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.ดุสิตธานี เผยว่า รางวัลนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของทีมงานในการยกระดับบริการแบบไทยสู่เวทีโลก ทั้งนี้ โรงแรม สิตธานี กรุงเทพฯ กลับมาเปิดอีกครั้งภายใต้โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ด้วยดีไซน์ใหม่ที่ผสานความหรูหราและธรรมชาติ พร้อมคว้ารางวัลนานาชาติหลายสาขาในปีแรก ส่วน ดุสิตธานี เกียวโต คงคุณภาพด้วยเอกลักษณ์บริการแบบไทยผสมวัฒนธรรมญี่ปุ่น “โอะโมะเตะนะชิ” พร้อมคว้าระดับสี่ดาวจาก Forbes Travel Guide 2025 ซึ่งทั้ง 2 แห่งตอกย้ำชื่อเสียง “แบรนด์ไทย” ที่โดดเด่นด้านการออกแบบและการบริการในระดับสากล สะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ “ดุสิตธานี” ในฐานะตัวแทนไทย ที่ยืนหยัดบนเวทีโลกด้วยมาตรฐานแห่งความเป็นเลิศ.

(11) คว้ารางวัลระดับโลก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในสังกัด บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) คว้ารางวัล “สนามบินที่ดีที่สุดในโลก” ติด Top 10 จากเวที Readers’ Choice Awards 2025 ของนิตยสาร Condé Nast Traveler เมื่อวันที่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยรางวัลนี้มาจากผลโหวตของนักเดินทางทั่วโลก และได้รับรางวับร่วมกับ “สนามบินชั้นนำ” อย่าง ชางงี สิงคโปร์, อิสตันบูล และฮ่องกง ทั้งนี้ เว็บไซต์ Condé Nast Traveler ชี้ว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดดเด่นทั้งด้านคุณภาพบริการ ความสะดวกสบาย และประสิทธิภาพการเชื่อมต่อทางอากาศ ขณะที่ AOT ย้ำว่า ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงการพัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่มาตรฐานโลกอย่างต่อเนื่อง และพร้อมเดินหน้าขยายโครงสร้างพื้นฐาน ทั้ง อาคารผู้โดยสารฝั่งตะวันออก–ใต้ และ ทางวิ่งเส้นที่ 4 เพื่อรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ภายใต้แนวคิดหลัก “World Class Hospitality” ที่มุ่งสร้างประสบการณ์เดินทางที่อบอุ่น รวดเร็ว และน่าประทับใจ ทั้งนี้ สนามบินสุวรรณภูมิ มุ่งสู่การเป็น “ศูนย์กลางการบิน” ระดับภูมิภาค และประตูสู่เศรษฐกิจท่องเที่ยวโลก ซึ่ง AOT ยืนยันจะเดินหน้าพัฒนาบริการต่อเนื่อง เพื่อผลักดันประเทศไทย สู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับสากล.

และ (12) เร่งปรับภูมิทัศน์วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ลงพื้นที่ตรวจสถานีรถไฟ หลวงจิตรลดา และ ที่หยุดรถยมราช เมื่อ 9 ต.ค. 2568 สั่งเร่งปรับปรุง คูระบายน้ำ–ภูมิทัศน์ ให้สวยงามสมพระเกียรติ รองรับประชาชนที่จะมาเยี่ยมชม อุทยานเฉลิมพระเกียรติ ร.9 และผู้ใช้บริการ รพ.รามาฯ โดยจะเน้นบูรณะอาคารสถานีหลวงจิตรลดา ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ตั้งแต่ผนัง ประติมากรรม พื้นหินอ่อน จนถึงการทาสีใหม่ทั้งอาคาร โดยได้สั่งให้ฝ่ายการช่างโยธาประสาน สำนักระบายน้ำ กทม. ขุดลอกคูน้ำและปรับปรุงระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนา จุดรอรถไฟยมราช เทคอนกรีตถาวร ปรับระดับพื้นให้ปลอดภัยและสะดวกขึ้นสำหรับผู้โดยสาร อีกทั้ง ยังเตรียมประสาน กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และ กรุงเทพมหานคร จัดระเบียบพื้นที่และแก้ปัญหาการลักลอบอยู่อาศัยรอบแนวเขตรถไฟ เพื่อมุ่งยกระดับภาพลักษณ์แนวทางรถไฟให้สะอาด เป็นระเบียบ และปลอดภัย ทั้งนี้ เขาย้ำว่า…รฟท.จะเดินหน้าปรับปรุงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ก่อนเปิด อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ อย่างเป็นทางการ และยืนยันว่า “จะทำให้พื้นที่รอบทางรถไฟงดงามสมพระเกียรติและเป็นมิตรต่อประชาชน”…แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password