‘พาณิชย์’ เผย! ดัชนีราคาส่งออก-นำเข้า ก.ค.68 โต เพราะเร่งเพิ่มสต๊อกสินค้าก่อนเส้นตายขึ้นภาษีสหรัฐฯ

“โฆษกกระทรวงพาณิชย์” แจงดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย ก.ค2568 ขยายตัวตามการเร่งสั่งซื้อสินค้าในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ เหตุลดความเสี่ยงด้านราคา และรองรับการบริโภคภายในประเทศ

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนกรกฎาคม 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวตามการเร่งสต๊อกสินค้าของประเทศคู่ค้า ก่อนมาตรการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะเริ่มบังคับใช้ เพื่อลดความเสี่ยงด้านราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประกอบกับการนำเข้าสินค้ายังขยายตัวเพื่อนำมาผลิตก่อนส่งออกเพิ่มขึ้น และรองรับการบริโภคภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า และการแข็งค่าของเงินบาท อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ดัชนีราคาส่งออก เดือนกรกฎาคม 2568 เท่ากับ 111.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวชะลอลง ร้อยละ 0.5 (YoY) สาเหตุจากราคาสินค้าเกษตร และเชื้อเพลิง รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมบางกลุ่มปรับลดลง จากปัญหาอุปทานล้นตลาด และความต้องการสินค้าชะลอลง โดยหมวดสินค้าที่ส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 1.7 ได้แก่ ทองคำ ราคายังทรงตัวสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน ตามความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวตามการเติบโตของเทคโนโลยี และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 1.3 ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ตามต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น อาหารสัตว์เลี้ยง ตามความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะน้ำดื่ม และน้ำผลไม้ ตามความต้องการของผู้บริโภคที่เน้นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 11.8 ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ เนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น และความความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และหมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 5.0 ได้แก่ ข้าว จากอุปทานที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันด้านราคา รวมถึงความต้องการของตลาดบางประเทศลดน้อยลงจากสต๊อกข้าวคงเหลือภายในประเทศ ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เมื่อเทียบกับปีก่อนราคายังปรับตัวลดลง เนื่องจากอุปทานล้นตลาด ประกอบกับอุปสงค์จากจีนชะลอลง
ดัชนีราคานำเข้า เดือนกรกฎาคม 2568 เท่ากับ 115.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวชะลอลงเล็กน้อย ที่ร้อยละ 2.3 (YoY) จากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการค้า อาจส่งผลต่อการชะลอการนำเข้าชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคานำเข้ายังคงปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 7.8 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องประดับอัญมณี และเครื่องใช้เบ็ดเตล็ด ขยายตัวต่อเนื่องตามความต้องการสินค้าเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของประเทศ หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 5.4 โดยเฉพาะทองคำ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสำรองทองคำของธนาคารกลางหลายแห่ง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ สำหรับอุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ตามความต้องการชิ้นส่วนและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการผลิตและส่งออก และปุ๋ย ตามราคาปุ๋ยตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะปุ๋ยยูเรีย และปุ๋ยที่มีส่วนผสมของ N P K
หมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 5.1 ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออก และการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการใช้เทคโนโลยีในประเทศเพื่อสนับสนุนการผลิต และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สูงขึ้นร้อยละ 1.3 โดยเฉพาะส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ตามความต้องการเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ขณะที่หมวดสินค้าเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 11.5 โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ทยอยปรับลดลงในช่วงก่อนหน้า
นายพูนพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า เดือนสิงหาคม ปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ 1) อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับไทยที่ร้อยละ 19 ยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน 2) ความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรแปรรูป และอาหารในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 3) สินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI และ Data Center ยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก และ 4) ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และประเทศคู่ค้าหลัก 2) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้จะผ่อนคลายแต่ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3) ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงนโยบายของหลายประเทศ ที่มุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศมากขึ้น ตลอดจนมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ 4) ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน และการแข่งขันทางด้านราคา และ 5) เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ซึ่งเป็นข้อจำกัดของภาคการส่งออกไทย.