ไว้ใจ๋ได้กา!!!

จากโยกงบแจกเงินหมื่น สู่งบกระตุ้นเศรษฐกิจ จนไหลมาถึงเทเงินส่วนที่เหลือ 2.6 หมื่นล้านบาท มาใส่งบกลาง-ฉุกเฉิน ที่ใช้เร็ว ตรวจสอบยาก!!!…วันนี้ คนไทยยังไว้ใจรัฐบาลได้อยู่ไหม? แล้ววลีระหว่าง “ความคล่องตัว vs ความโปร่งใส” มันคืออะไรกันแน่!!!
2568…จัดเป็น ปีงบประมาณ ที่ “รัฐบาลแพทองธาร” สร้างความพลิกผันอย่างรวดเร็ว…ในเชิงนโยบายที่สัมพันธ์กับเงินงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินอย่างที่สุด!!!
เริ่มต้นจากแนวนโยบายที่ถูกประชาชนพูดถึงมากสุด คือ “แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตหมื่นบาท” ซึ่งรัฐบาลประกาศเป็น…นโยบาย “เรือธง” ในการกระตุ้นกำลังซื้อ เพื่อให้เม็ดเงิน 5 แสนล้านบาท ได้เข้าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ดันจีดีพีให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 2-3 ในปีงบประมาณนี้และงบประมาณหน้า
แต่เพียงไม่นาน…ความจริงของกระบวนการจัดสรรงบประมาณ และสภาพการคลังที่ตึงตัวก็เผยออกมาให้เห็นว่า… รัฐบาลไม่สามารถขับเคลื่อนโครงการตามรูปแบบที่ตั้งใจไว้ได้ทั้งหมด!!!
เงินจำนวนหนึ่ง…ถูกโยกไปจัดทำเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ภายใต้วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท
และล่าสุด เงินส่วนที่เหลืออีกกว่า 26,000 ล้านบาท ก็ถูกนำมาเทเข้าสู่ “งบกลาง” รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จนทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า “แท้จริงแล้ว รัฐบาลกำลังบริหารงบประมาณอย่างมีแผนชัดเจน หรือเพียงแค่ประคองสถานการณ์เพื่อให้เงินไม่สูญเปล่า?”
การเคลื่อนย้ายเงินจากนโยบายใหญ่ที่ถูกวางภาพไว้ว่า เป็นตัวแทนแห่งการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล ไปสู่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายหน่วยงาน ถือเป็นการ “เปลี่ยนเกียร์” ครั้งสำคัญของนโยบายการคลัง เมื่อ สำนักงานงบประมาณ รายงานว่า…
แม้จะอนุมัติเงินกว่า 109,800 ล้านบาทให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ รวมแล้วกว่า 8,400 โครงการ แต่ยังเหลือเงินในมืออีก 26,000 ล้านบาท ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันในปีงบประมาณนี้ การปล่อยให้เงินก้อนนี้พับไปตามกฎหมายเท่ากับว่าสูญเสียเครื่องมือหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปโดยเปล่าประโยชน์
ดังนั้น การโยกเข้าสู่งบกลางฉุกเฉินจึงถูกมองว่าเป็นทางออกที่ “จำเป็น”
แต่ในขณะเดียวกัน สังคมไทยก็ได้ตั้งข้อกังขาตามมาเป็นพวง ว่า…การเปลี่ยนแปลงฉับพลันเช่นนี้ มันจะยังเหลือความโปร่งใสอยู่หรือไม่?
เพราะ…การใช้งบกลางฉุกเฉินที่สามารถเบิกจ่ายได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยากเหมือน การจัดทำโครงการปกติ แต่เป็นเพียงแค่…การใช้เงินในช่องทางนี้ ที่ขึ้นอยู่กับ “ดุลพินิจและวิสัยทัศน์” ของฝ่ายบริหารอย่างสูง นั้น
อาจเสี่ยง! ต่อการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่หลายคนเชื่อว่า…นี่อาจเป็นช่วงท้ายๆ ของรัฐบาลชุดนี้
เพราะการตรวจสอบการใช้จ่ายงบฉุกเฉินฯ ไม่ง่ายนัก!!!
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พยายามอธิบายให้สังคมเห็นภาพว่า นี่คือการเสริมศักยภาพของประเทศในการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด งบฉุกเฉินที่เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 122,000 ล้านบาท คิดเป็น 3.27% ของงบรายจ่ายทั้งหมด จะช่วยให้รัฐสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วและตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ ปัญหาชายแดน หรือแม้แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
แต่ความกังวลที่สังคมตั้งคำถามกลับ! ไม่ใช่เรื่อง “จะใช้เงินทันหรือไม่???” หากแต่เป็น “จะใช้เงินอย่างไร??? และโปร่งใสเพียงพอหรือไม่???”
เพราะที่ผ่านมา…ประชาชนเคยมีประสบการณ์กับงบกลางฉุกเฉินที่ถูกมองว่า…ขาดการตรวจสอบ และมักถูกใช้เป็นกลไกทางการเมืองมากกว่าการแก้ปัญหาที่แท้จริง
ภาพสะท้อนที่เห็นชัดเจน คือ ความพยายามของรัฐบาลในการสร้างระบบติดตามโครงการด้วย DASHBOARD เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าและการเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยชี้นำว่า…สิ่งนี้จะ เป็นเครื่องมือสมัยใหม่ที่สร้างความโปร่งใส
แต่ทันทีที่เงินถูกโยกเข้าสู่งบกลางฉุกเฉิน กลับไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัด ว่า…จะมีระบบติดตามลักษณะเดียวกันหรือไม่? หาก งบกลางฉุกเฉิน ยังดำเนินไปด้วยรูปแบบการรายงานแบบเดิม ๆ ที่ไม่เปิดเผยรายละเอียดเพียงพอ ก็ย่อมไม่อาจสร้างความมั่นใจให้กับสาธารณะได้
การขยับหมากทางการคลังครั้งนี้ จึงถูก “ตีความ” ได้ 2 ทาง
ด้านหนึ่ง คือ ความสามารถในการบริหารสถานการณ์อย่างยืดหยุ่น
อีกด้านหนึ่ง คือ การเปิดช่องให้เกิดข้อสงสัยในความโปร่งใสและธรรมาภิบาล
ในแง่…เศรษฐกิจมหภาค การคงงบกลางฉุกเฉินในระดับสูง ถือว่าเป็น “ดาบสองคม”
การมีเงินก้อนใหญ่ที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาฉุกเฉินทันที อาจช่วยสร้างความมั่นใจแก่ตลาดและนักลงทุน ว่า…ประเทศไทยมี “กันชน” สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน!!!
แต่ขณะเดียวกัน ก็สะท้อนถึง ข้อจำกัดของการวางแผนนโยบายที่ไม่สามารถผลักดันโครงการสำคัญให้ทันตามกรอบเวลา ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลในสายตาประชาชนและนักวิชาการอาจถูกตั้งคำถาม ว่า…
รัฐบาลมี “วิสัยทัศน์” ในการจัดการเศรษฐกิจจริงๆ หรือเพียงแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปทีละขั้น!!??
เสียงสะท้อนจากสังคมในเวลานี้ จึงไม่ได้มุ่งไปที่…ตัวเลขของงบประมาณเพียงอย่างเดียว หากแต่มุ่งไปที่ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลมากกว่า!!!
ประชาชนจำนวนมาก อาจไม่ได้จดจำว่า…รัฐบาลอนุมัติเท่าไร? เบิกจ่ายกี่โครงการ? แต่จะจำได้ว่า รัฐบาลเคยประกาศแจกเงินหมื่นบาท และท้ายที่สุด! เงินก้อนนั้น ก็ไม่ถึงมือพวกเขา กลายเป็นเพียงตัวเลขบนกระดาษที่โยกย้ายไปมา ระหว่างโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและงบกลางฉุกเฉิน
เมื่อความคาดหวังของประชาชนไม่ถูกเติมเต็ม คำถามเรื่องความไว้วางใจ…จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่สามารถเลี่ยงได้
บทเรียนจากครั้งนี้ ชี้ให้เห็นความจริงว่า…งบประมาณไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่เป็น “ความเชื่อมั่น” ที่ประชาชนมอบให้กับรัฐบาล
การโยกย้ายงบเพื่อความคล่องตัว อาจสร้างประโยชน์ในระยะสั้น แต่ถ้าขาดความโปร่งใส ผลเสียจะสะสมกลายเป็นวิกฤติศรัทธาในระยะยาว!!!
และนั่นคือ…จุดที่สังคมเริ่มที่นำไปสู่การตั้งคำถามต่อวลีที่รัฐบาลชอบใช้ว่า “เพื่อความคล่องตัว” เพราะเมื่ออีกฟากหนึ่งของสมการคือ “ความโปร่งใส” แล้ว
สุดท้ายคนไทย ย่อมอยากรู้ว่า…ระหว่างความคล่องตัวที่มากขึ้น กับความโปร่งใสที่ลดลง สิ่งใดที่รัฐบาลให้ความสำคัญมากกว่ากัน!!??
คำถามที่สังคมไทยต้องการคำตอบจากรัฐบาลในวันนี้ ไม่ใช่เพียงว่า…เงิน 26,000 ล้านบาท ที่ถูกโยกเข้าสู่งบกลางฉุกเฉิน…จะถูกใช้เมื่อไร? หรือใช้กับเรื่องใด?
แต่เป็น คำถามที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือ “คนไทยยังสามารถไว้ใจรัฐบาลได้อยู่หรือไม่???”
เพราะความไว้ใจ…ไม่ได้สร้างจากการเบิกจ่ายที่รวดเร็วเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องมาจากการใช้เงินอย่างเปิดเผย ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนทุกคน
ถึงบรรทัดนี้…กับวลีที่ว่า “ความคล่องตัว vs ความโปร่งใส” ก็จะไม่ใช่…เพียงประโยคที่ฟังดูหรูหราในห้องประชุม
แต่จะกลายเป็น “เครื่องชี้วัดที่แท้จริง” ว่า…รัฐบาลนี้กำลังเดินไปทางไหน? และ จะนำพาคนไทยและประเทศไทย…ก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเมืองในอนาคต!!! ได้หรือไม่??? และอย่างไร???
ถามจริง!…กับคนที่อยู่เหนือรัฐบาล…คนไทยยังจะไว้ใจ๋ได้กา!!???.