กรมศุลฯจับมือ กทท. ยกระดับนวัตกรรมความปลอดภัยท่าเรือไทยสู่มาตรฐานสากล

“กรมศุลกากร – การท่าเรือแห่งประเทศไทย” ร่วมลงนาม MOU ว่าด้วยการเชื่อมต่อข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จากระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ด้วยเครื่องเอกซเรย์ โครงการพัฒนาระบบ Scanning ยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือให้ได้มาตรฐานสากลตาม ISPS Code เผย! นำร่องที่ท่าเรือแหลมฉบัง ก่อนขยับเข้าท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรืออื่นๆ ในอนาคต มั่นใจช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนและเวลา แถมสกัดสินค้าผิดกฎหมายได้แน่!
วันนี้ (25 ส.ค. 2568) เวลา 15.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 19 การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.), นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม และ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) การเชื่อมต่อข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จากระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ โครงการพัฒนาระบบ Scanning เพื่อยกระดับการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของประมวลข้อบังคับว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ (INTERNATIONAL SHIP AND PORT FACILITY SECURITY CODE : ISPS CODE) ระหว่าง กรมศุลกากร โดย นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร และ การท่าเรือแห่งประเทศไทย โดย นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมลงนาม

นางมนพร กล่าวว่า นับเป็นก้าวสำคัญของการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลการพัฒนาศักยภาพด้านโลจิสติกส์และพิธีการศุลกากรของประเทศ เพื่อยกระดับการให้บริการและรักษาความปลอดภัยของท่าเรือไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล มีความโปร่งใส รวดเร็ว แม่นยำ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคมในการขับเคลื่อนระบบโลจิสติกส์ของไทยให้มีประสิทธิภาพทันสมัย สร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับผู้ประกอบการ นักลงทุน ตลอดจน ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
“ความร่วมมือนี้จะลดลงเวลาและปัญหาในการเปิดตู้ตรวจสอบสินค้าซึ่งใช้เวลานานมาก ตรงนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ส่วนการวัดผลความสำเร็จของโครงการ คงต้องใช้เวลาสักระยะไม่เกิน 3 เดือนจากนี้ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วย โดยจากนี้ จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเป็นการเฉพาะ เพื่อดูแลการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพ ต่อไป” รมช.คมนาคม ระบุ

ด้าน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า บันทึกความเข้าใจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐและเอกชนในการบูรณาการข้อมูลและเทคโนโลยี เพื่อยกระดับการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทยให้มีมาตรฐานสากล เสริมสร้างความปลอดภัยและความโปร่งใสของระบบการค้า สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ผู้ประกอบการ และคู่ค้าระหว่างประเทศ เกี่ยวกับการมีระบบท่าเรือที่ทันสมัยของประเทศไทย พร้อมก้าวสู่การเป็น “ศูนย์กลางด้านการค้าและโลจิสติกส์ของภูมิภาค” อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ก่อให้เกิดประโยชน์เชิงนโยบายต่อประเทศชาติ และช่วยสร้างรากฐานที่มั่นคงต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ทั้งนี้ การนำเครื่องเอ็กซ์เรย์มาใช้ในการตรวจสอบสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์ ต้องใช้งบประมาณที่สูง เมื่อการท่าเรือแห่งประเทศไทย ดำเนินการจัดสร้างท่าเรือแหลมฉบังเฟสใหม่ กรมศุลกากรจึงได้ประสานเพื่อดำเนินการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ โครงการพัฒนาระบบ Scanning เนื่องจากในปีนี้ จะมีการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์บรรทุกสินค้าผ่านเข้ามาสูงถึงเกือบ 10 ล้านตู้ และปีหน้าเกินกว่า 10 ล้านตู้ ซึ่งจะช่วยให้การตรวจสอบทำได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการตรวจสอบการสวมสิทธิ์เป็นสินค้าไทย ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลทำข้อตกลงไว้กับสหรัฐอเมริกา

ด้าน นายเกรียงไกร ย้ำว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับความปลอดภัยทางทะเลและระบบท่าเรือไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ภายใต้ข้อกำหนดของ ISPS (International Ship and Port Facility Security Code หรือ ประมวลกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ) จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ นักลงทุน และพันธมิตรทางการค้า ขณะเดียวกัน ยังสะท้อนวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของ กทท. และกรมศุลกากร ที่นำเทคโนโลยีและความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน มาเป็นกลไกในการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางทะเล อีกทั้งยังช่วยยกระดับระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยนำร่องที่ท่าเรือแหลมฉบังเป็นแห่งแรกของประเทศ ก่อนจะขยายสู่ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรืออื่นๆ ในอนาคต

ขณะที่ นายธีรัชย์ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในขั้นตอนการตรวจสอบสินค้าที่บรรจุอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์สินค้าในพื้นที่ท่าเรือ ตามกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของกรมศุลกากร โดย กรมศุลกากร และ กทท.จะร่วมกันบูรณาการการใช้เทคโนโลยี เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรฐานการเชื่อมต่อข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงกำหนดการเข้าถึง และการใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามโครงการพัฒนาระบบ Scanning เพื่อยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือให้ได้มาตรฐานสากลตาม ISPS Code

ทั้งนี้ กรมศุลกากรจะจัดทำและพัฒนาระบบการเชื่อมต่อข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเรียกดูข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้จากการดำเนินโครงการจาก กทท. และเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย พร้อมการกำหนดระดับสิทธิที่เหมาะสมสำหรับการเข้าถึง และใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของกรมศุลกากร โดยทั้ง 2 หน่วยงานจะร่วมกัน จัดตั้ง “คณะทำงานบริหารจัดการ และกำกับดูแลการเชื่อมต่อข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรฐานการเชื่อมต่อข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การเข้าถึงและใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ลดความซ้ำซ้อนในการตรวจสอบ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของประเทศ และยังเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและภัยคุกคามต่าง ๆ
“กรมศุลกากรมุ่งมั่นบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อพัฒนาระบบการตรวจสอบที่ทันสมัย โปร่งใส และปลอดภัย สอดคล้องกับมาตรฐานสากล อันจะนำไปสู่การอำนวยความสะดวกทางการค้า ควบคู่กับการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและสังคม” อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวสรุป.
