เกียรติภูมิ…เหนือการเมือง!!??

ทหาร…ผู้เสียสละ คอยปกป้องผลประโยชน์ของชาติ! ย่อมมี “เกียรติภูมิ” เหนือกว่าการเป็นนักการเมือง แม้กระทั่ง…ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระดับ “นายกรัฐมนตรี” ที่บางคน? ยังคงยึดโยงผลประโยชน์ส่วนตัว เหนือทุกผลประโยชน์ของส่วนรวม

“จ้างผีโม้แป้ง!”ทีมข่าวการเมือง “ยุทธศาสตร์ออนไลน์” เคยเขียนถึงทฤษฎีนี้ มาก่อนแล้ว และยังคงยืนยัน…เงินและผลประโยชน์ง้างได้ทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่ง จะจ้างให้ผีโม้แป้งแทน!!!

กับโพลที่มีออกมาในสถานการณ์การเมืองกำลังขมึงเกลียว ปัญหาชายแดนใกล้เปิดศึกรอบใหม่ ผสมโรง…กับปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ ที่ลุกลามไปทั่วทุกหย่อมหญ้า…

คนไทย…จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร???

ก่อนหน้านี้ นิด้าโพลเคยทำสำรวจความคิดเห็นของคนไทย ในสถานการณ์สู้รบตามชายแดนไทย-กัมพูชา เสียงส่วนใหญ่ ต่างเทคะแนน “ไว้วางใจ” ในกองทัพไทยพุ่งขึ้นถึง 75.73%

ล่าสุดกับ โพลของสถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค ที่เพิ่งทำการสำรวจประชาชน 1,500 คนทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 พบว่า 68.1% ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ที่ทหารจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อีก 27.6% ยังไม่แน่ใจ และ 4.3% เห็นด้วยอย่างยิ่ง

น่าสนใจว่า…ทหารในยุคสมัยนี้ ยังต้องการ “ตำแหน่งในทางการเมือง” อย่างที่โพลทำการสำรวจเอาไว้จริงหรือ???

กับบทบาทของ กองทัพไทย ในห้วงเวลาที่ สังคมไทย กำลังจับตามองสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ได้กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง ผลการสำรวจความคิดเห็นของ สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค สะท้อนทัศนะสำคัญของประชาชนว่า…

แม้คนส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 68.1 จะไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการให้ทหารขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังเชื่อมั่นในบทบาทของทหารในฐานะ “ผู้พิทักษ์” ความมั่นคงและผลประโยชน์ของประเทศชาติ เหนือกว่าภาพลักษณ์ของนักการเมืองบางกลุ่มที่ถูกมองว่ามุ่งหาประโยชน์ส่วนตนมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะ

กระนั้น ผลโพลดังกล่าว ก็มีความน่าสนใจตรงที่สะท้อนให้เห็นถึง การแยกแยะบทบาทของทหารกับการเมืองอย่างชัดเจน ประชาชนเห็นด้วยว่า…หน้าที่หลักของทหาร คือ การปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ การรักษาความสงบเรียบร้อย และการช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤติหรือภัยพิบัติ

มากกว่า 19% ระบุชัดว่า หน้าที่สำคัญของทหารคือการร่วมมือกับนานาชาติด้านความมั่นคงและสันติภาพ ขณะที่อีก เกือบ 20% ชี้ว่า การปกป้องประเทศจากภัยคุกคามภายนอก คือ สิ่งที่สังคมไทยคาดหวังจากกองทัพ

นอกจากนี้ ยังมีสัดส่วนไม่น้อย ที่ยกย่องบทบาททหารในการสนับสนุนประชาธิปไตยและการช่วยเหลือด้านสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

สะท้อนว่า…ในสายตาของประชาชน ทหารยังคงเป็นรากฐานสำคัญของการดำรงอยู่ของรัฐ แม้จะไม่เห็นด้วยกับการให้ก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งทางการเมืองโดยตรงก็ตาม

เมื่อย้อนมองไปยัง สถานการณ์จริงในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา และผลการสำรวจของนิด้าโพล ช่วงเกิดเหตุปะทะยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า…

ความไว้วางใจของประชาชนต่อกองทัพพุ่งสูงถึงกว่า 75% ในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญกับความเสี่ยงด้านอธิปไตยและความมั่นคง ตัวเลขนี้สูงกว่าความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลและนักการเมืองในเวลานั้นอย่างมีนัยสำคัญ

ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของทหารในฐานะ “ผู้เสียสละ” ที่พร้อมเผชิญหน้ากับอันตรายเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยให้ปลอดภัย

ขณะที่ บทบาทของฝ่ายการเมือง กลับถูกวิจารณ์ว่า เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน การแย่งชิงอำนาจ และการดำเนินงานที่ขาดเอกภาพ

ในเชิง วิชาการ งานศึกษาหลายชิ้นอธิบายให้เห็นว่า ทหารไทยเป็นสถาบันที่แข็งแกร่งและฝังรากลึกในสังคมมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน บทบาทของทหารในการปกป้องชาติได้สร้างความชอบธรรมและเกียรติภูมิให้กับกองทัพ แม้ในหลายห้วงเวลา ทหารจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการก้าวสู่การเมืองผ่านการรัฐประหาร

แต่นั่น…ก็มิได้ลบล้างคุณูปการในด้านความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยที่ประชาชนรับรู้มาโดยตลอด

ขณะที่ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ บางคน ชี้ว่า การที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการให้ทหารเป็นนายกรัฐมนตรี สะท้อนแนวคิดที่ต้องการให้สถาบันทหารทำหน้าที่ “ทหารอาชีพ” ตามกรอบประชาธิปไตยแบบสากล

แต่ใน ทางปฏิบัติ ความศรัทธาของสังคมยังคงโน้มเอียงไปในทิศทางที่ให้ความไว้วางใจแก่กองทัพมากกว่านักการเมือง

หากพิจารณาในแง่ ภาพลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม จะเห็นได้ว่า ทหารได้รับการยกย่องเชิดชูในฐานะ “ผู้เสียสละ” ที่พร้อมจะปกป้องประเทศด้วยชีวิต ไม่ว่าจะในสนามรบ ช่วงการปะทะตามแนวชายแดน หรือการเข้าช่วยเหลือประชาชนในภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือโรคระบาด

ภาพของทหารที่ยืนอยู่แนวหน้า กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงที่ประชาชนรู้สึกพึ่งพาได้

แตกต่างจาก ภาพของนักการเมือง ที่ในหลายครั้งถูกสังคมตีตราว่า เต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน การแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพรรคพวก มากกว่าจะเป็นผู้แทนที่แท้จริงของประชาชน

แม้กระทั่งประเด็นการเป็น “นายกรัฐมนตรี” ที่โพลชี้ชัดว่า คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย!!??

แต่ในเชิงการเปรียบเทียบระหว่าง “เกียรติภูมิของทหาร” กับ “เกียรติภูมิของนักการเมือง” ยังคงสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สังคมไทยจำนวนไม่น้อยมองว่า ทหารมีคุณค่าทางจิตใจและสัญลักษณ์แห่งการปกป้องมากกว่า

ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” อาจเป็นเพียง “เก้าอี้แห่งอำนาจ” ในทางการเมือง ที่ต้องอาศัย การต่อรองและการรักษาฐานเสียง แต่การเป็น ทหารผู้เสียสละในสายตาของประชาชน กลับหมายถึง ความศรัทธา ความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นในคุณธรรมที่เหนือกว่าการเมืองที่ผันผวน

สื่อมวลชน เอง ก็มีบทบาทสำคัญในการ ตอกย้ำภาพลักษณ์เช่นนี้ โดยเฉพาะ…การนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการเสียสละของทหารในแนวหน้า หรือภาพของกำลังพลที่ยื่นมือช่วยเหลือประชาชนในยามลำบาก

ภาพเหล่านี้…มักถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางและสร้างความประทับใจให้กับสังคม

ขณะที่ การตรวจสอบข่าวการเมืองส่วนใหญ่ กลับสะท้อนภาพ ความล้มเหลว การไม่โปร่งใส และการไม่ยึดมั่นในผลประโยชน์ชาติของนักการเมืองบางคนบางกลุ่ม

สิ่งเหล่านี้…ช่วยสร้างความแตกต่างในสายตาประชาชน

แม้ เสียงประชาชนส่วนใหญ่ จะไม่ต้องการเห็น…ทหารก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยตรง

แต่ความรักและศรัทธา รวมถึงความไว้วางใจที่สังคมมีต่อทหาร ยังคงสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด  

ผลโพลและเสียงสะท้อนจากหลายภาคส่วน จึงชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า…สังคมไทยยังคงเชื่อมั่นในบทบาทของ “กองทัพ” ในการพิทักษ์แผ่นดิน และมองว่า…ทหารมีคุณค่าเหนือกว่าการเป็นเพียงนักการเมืองที่ครองตำแหน่งสูงสุดของประเทศ

หากนักการเมือง…ไม่ร่วมกันสร้างเงื่อนไข จนกลายเป็นความเสื่อมเสียในหลากหลายมิติ ทั้งต่อประเทศชาติและประชาชน แล้วล่ะก็…

กองทัพก็ยังคงเป็นกองทัพ ทหารก็ยังคงเป็นทหาร เป็นกลุ่มคน…ผู้เสียสละ คอยปกป้องผลประโยชน์ชาติ

หมายรวมถึงยังเป็น…สัญลักษณ์แห่งเกียรติภูมิที่อยู่เหนือการเมือง อย่างมิต้องสงสัย!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password